หน้าเว็บ

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

(022) ทำไมต้องไปกัมพูชา 3 หน




นิมิตธรรม "กัมพูชา"
นิทานธรรมย้อนหลังปลายปี 2558

ท่านทั้งหลาย นิทานธรรมเรื่องนี้ สมมุติว่า หลังจากบุรุษผู้หนึ่งได้เดินทางกลับมาจากการไปเยือนเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา เมื่อกลับมาแล้ว ในช่วงกลางคืนนิมิตว่า มีวิญญาณที่กัมพูชาทั้งฝ่ายสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิสื่อสารเข้ามา ฝ่ายดีก็ขอบคุณอนุโมทนา ฝ่ายไม่ดีก็มุ่งเข้ามาทำร้าย และโดยเฉพาะ มีอสูรกายรูปร่างใหญ่หลายตนมุ่งเข้ามาทำร้าย ประหนึ่งว่าเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติไหนๆ บุรุษผู้นี้ไม่หวั่นไหวจึงได้แผ่เมตตาออกไป แต่พวกเขากลับไม่รับความเมตตาใดๆ มีแต่พากันขยับตัวมุ่งจะเข้ามาทำร้ายถ่ายเดียว บุรุษผู้นี้จึงเอ่ยคาถาออกไปว่า...

สัพพะพุทธา นุภาเวนะ
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต "

เหล่าอสูรร้ายพากันหยุดชะงักและถอยกลับไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานพวกเขาก็กลับเข้ามาใหม่ พร้อมกับยกเท้าอันใหญ่มหึมา กะว่าจะเหยียบเขาให้จมธรณี บุรุษผู้นี้จึงเปล่งเสียงอันดังออกไปว่า...

นะบัง โมบัง พุทโธบังหน้า ธัมโมบังหลัง สังโฆบังข้าง "

(หมายเหตุ... คาถาพ่อท่านลีและหลวงปู่เหลืองท่านว่า... นะบัง โมบัง พุทโธบังหน้า ธัมโมบังหลัง...... บุรุษผู้นี้ขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์ต่อเติมอีกคำว่า...สังโฆบังข้าง)

ปรากฏว่า เหล่าอสูรร้ายหายวับไปกับตา ไม่มีวิญญาณร้ายเข้ามาก่อกวนอีกเลย มาถึงตรงนี้ จิตสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีราวเกือบตีสี่ จึงลุกขึ้นมาภาวนาต่อ ขณะภาวนาพิจารณาไป ขนก็ลุกซาบซ่านไปทั้งตัว จากเหตุนี้ จึงทำให้ทราบว่า คาถาที่ใช้ปราบผีร้ายหรือป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ดีที่สุดสำหรับเหตุการณ์คับขันนี้ก็คือ คาถาที่หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อท่านลี ธัมมธโร ขณะที่ท่านพักอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง จันทบุรี เพื่อใช้ป้องกันตัวเวลาท่านออกธุดงค์ไปกัมพูชา

วันถัดมาในช่วงเย็น เขาได้นั่งภาวนาและต่อด้วยการเอนกายนอนภาวนา เสมือนหลับไป ไม่นานจิตก็ถอนออกมา นิมิตย้อนกลับไปยังประเทศกัมพูชาอีกครั้ง จิตท่องไปก็หลายที่ อาทิ ทั้งเสียมเรียบ พระตะบอง หรือศรีโสภณ และสุดท้ายได้ย้อนกลับไปเห็นภาพเมืองเก่าแห่งหนึ่ง มีปราสาทหินอยู่ด้วย รอบปราสาทหินมีสระน้ำรายรอบ เห็นผู้คนมากมายแต่งกายแบบคนโบราณ ผิวพรรณก็บอกว่าเป็นชาวเขมร ขณะที่บุรุษผู้นี้ยืนดูอยู่ มีสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งบอกให้เขาดูเรื่องราวต่อไปนี้ ประหนึ่งว่าจะเกี่ยวข้องกับเขาด้วย เธอเนรมิตให้เห็นเรื่องราว ภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็คือ มีสตรีนางหนึ่งคล้ายนางสนม หรือนางกำนัล กำลังกดเด็กชายผู้สูงศักดิ์ให้จมน้ำตาย แล้วเสแสร้งร้องโวยวายว่า เด็กจมน้ำตาย คล้ายกับว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เพื่อต้องการให้อีกผู้หนึ่งขึ้นเป็นทายาทสืบทอดอำนาจแทน บรรยากาศก็ดูวุ่นวายเหมือนกับในนิยายโบราณ เขายืนพิจารณาดูอยู่ ก็ได้แต่สงสัยในใจว่า เอ...มันจะเป็นเรื่องจริงหรือสตรีนางนั้นจึงบอกเขาว่า... "ขอให้ท่านเปิดทีวีดูข่าว แล้วจะเห็นเรื่องราวปราสาทหินนั้น เพื่อเป็นพยานให้ท่านรู้ว่า นี้คือเรื่องจริง" เมื่อเธอกล่าวจบ พลันจิตของเขาก็ถอนตื่นขึ้นมาทันที

เมื่อจิตถอนตื่นขึ้นมาแล้ว ดูเวลาก็เกือบหกโมงเย็น จึงรีบเปิดทีวีดู จึงเห็นรายการข่าวของ คสช มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พูดเรื่องการร่วมมือทางด้านศิลปวัฒนธรรมกับประเทศกัมพูชา พร้อมกับฉายสารคดีเกี่ยวกับปราสาทหินในประเทศกัมพูชาหลายแห่ง ไล่ไปตั้งแต่เมืองเสียมเรียบ พระตะบอง หรือศรีโสภณ โดยมีฉากหลังคือปราสาทหินแห่งหนึ่ง อยู่ระหว่างชายแดนไทยกัมพูชา ปราสาทหินแห่งนี้เหมือนในนิมิตทุกประการ มีสระน้ำรายรอบปราสาท เมื่อมาถึงตรงนี้ บุรุษผู้นี้ถึงกับอุทานว่า "อือ...จริงด้วย สงสัยเราจะต้องกลับไปอีก" อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ชั่ง เขาก็ได้ถือโอกาสนี้ นำมาพิจารณาเป็นอุบายธรรมไปตามประสาว่า....

"การเป็นผู้มีอำนาจก็ทุกข์ การเสียอำนาจก็ทุกข์ ความเป็นใหญ่ก็ทุกข์ ความเป็นผู้น้อยก็ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยหรือศาสนาใดๆ ความอิจฉาริษยาและแก่งแย่งชิงอำนาจกัน ฆ่ากัน อาฆาตแค้นกัน ก็มีให้เห็นอยู่ทุกยุคทุกสมัย แล้วเมื่อไรจะพากันพ้นทุกข์กันได้สักที พิจารณาไปเท่าไร ใจก็สังเวชทั้งตัวเองและสัตว์โลกทั้งหลายว่า เราก็ทุกข์ไม่ต่างกันกับท่านหรอก หากมีโอกาส เราจะกลับไปแผ่เมตตาแก่พวกท่านอีก"

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์


28 มีนาคม 2559



ทำไมต้องไปกัมพูชา หน

ทำไมต้องไปกัมพูชา? ...
กิเลสไม่ได้อยู่ที่กัมพูชา ...
ธรรมะก็ไม่ได้อยู่ที่กัมพูชา ...

"...จั่งว่าไป เพราะใจมันยินดีพอใจที่จะไป
หนึ่ง... "ไปเที่ยว" ตามประสาเฉยๆ
สอง... "บุพกรรมอดีต" มันพาไป
เมื่อไปแล้ว หากมีสติ มีปัญญา ก็พิจารณา "โลกธรรม"
หากไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ก็สักแต่ว่า "กิเลสมันพาไป"
ก็สุดแท้แต่อัธยาศัยของใครของมัน..."

หมายเหตุ... ธรรมะเชิงท่องเที่ยวในครั้งนี้ ไม่มีวาระพิเศษอะไร เมื่อไปแล้ว เห็นแล้ว ก็ใช้โอกาสพิจารณาโลกพิจารณาธรรมไปตามประสา เมื่อมีเวลาบ้าง ก็พากันภาวนาแผ่เมตตาไปตามปรกติวิสัย พอตกกลางคืน ก็มารวมกันปฏิบัติภาวนาบูชาคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งเพื่อเป็นการฝึกสติ ฝึกอินทรีย์ จนสว่างกันทั้งสองคืน เพราะพวกเราตระหนักว่า แม้จะเป็นการไปท่องเที่ยว แต่การฝึกปฏิบัติทางจิตภาวนา พวกเราก็ไม่เคยขาด เพราะพวกเราทำตามคำสอนของหลวงพ่อแห่งวัดโคกปราสาทว่า...

"ขี้เกลียดก็ทำ ขยันก็ทำ อยู่ที่ไหนๆ เวลาใดๆ ก็ทำ ทำเป็นปรกติวิสัยเท่าที่ทำได้" ....

ส่วนผลปฏิบัติจะเป็นอย่างไร การรู้เห็นภายในมันก็เป็นปัตจัตตัง ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของใครของมัน เพราะสุดท้าย สิ่งทั้งหลายมันก็เป็นอนัตตา จึงขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่านเทอญ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
21 เมษายน 2559