หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

(002) แนวคิดของคาร์ล มาร์กซ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
สงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นอ้างอิงตามหลักวิชาการ
25 กันยายน 2555


คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ (Karl Heinrich Marx) เป็นชาวเยอรมันมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1818 - 1883 มาร์กซเป็นนักคิดที่มีอิทธิพลอย่างสูง เขาเป็นทั้งนักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์การเมือง และนักปฏิวัติ รวมทั้งยังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดตั้งกลุ่มกรรมกรนานาชาติ (International Workingmen's Association) อีกด้วย แม้ว่าบทบาทของมาร์กซ จะได้วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆ ในฐานะของนักข่าวและนักปรัชญา แต่ผลงานหลักที่สำคัญของเขาก็คือ บทวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่มองผ่านทางการปะทะกันระหว่างชนชั้น ดังคำนำในหนังสือแถลงการณ์ของชาวคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ว่า: "ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนแต่ประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น" (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. ออนไลน์) ต่อมางานเขียนของเขา กลายเป็นแกนหลักของการเคลื่อนไหวในแนวทางลัทธิต่างๆ ได้แก่ ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิสังคมนิยม ลัทธิเลนิน และลัทธิมาร์กซ รวมทั้งได้ส่งอิทธิพลมาสู่นักคิดของไทยบางส่วนด้วย

  
คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ (Karl Heinrich Marx) (ค.ศ. 1818 1883)

 

คาร์ล มาร์กซ  เกิดในครอบครัวชาวยิวหัวก้าวหน้าในเมืองเทรียร์ (Trier)  แคว้นปรัสเซีย ประเทศเยอรมนี มาร์กซได้รับอิทธิพลทางความคิดเบื้องต้นจากบิดาของเขาคือ ไฮน์ริค มาร์กซ (Heinrich Marx) ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่นิยมในปรัชญาของวอลแตร์และรุสโซ ในวัยเด็ก มาร์กซเข้าเรียนที่โรงเรียนระดับมัธยมปลายในเมืองเทรียร์บ้านเกิด และได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ระดับมัธยมปลายที่มีชื่อว่า "ศาสนา : กาวที่เชื่อมสังคมเข้าด้วยกัน" และงานชิ้นแรกนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นให้กับงานวิเคราะห์ศาสนาของเขาในเวลาต่อมา มาร์กซเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงบอนน์ในปี ค.ศ. 1835  ในช่วงเวลานี้ มาร์กซมีความสนใจในด้านโคลงกลอนเป็นพิเศษ และมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นกวีที่มีชื่อเสียง ต่อมาเขาจึงย้ายไปศึกษาวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยฟรีดรีช-วิลเฮล์ม (Friedrich-Wilhelms Universität) ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเบอร์ลิน ในระหว่างปี ค.ศ. 1837-1841

ที่เบอร์ลิน มาร์กซเริ่มหันไปสนใจปรัชญาหลังจากได้รับอิทธิพลแนวคิดของ เฮเกล (Georg Wilhelm Friedrich Hegel) เขาจึงได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มนิยมเฮเกลรุ่นใหม่ (Young Hegelians) ซึ่งถือเป็นกลุ่มนิยมลัทธิเฮเกลฝ่ายซ้าย โดยการนำของ บรูโน บาวเออร์ (Bruno Bauer) อาจารย์สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ปรัชญาของเฮเกล คือ ลัทธิจิตนิยม (idealist)  ซึ่งเฮเกลเชื่อว่า สิ่งที่เป็นความจริงจะต้องมีลักษณะสมบูรณ์ทั่วด้าน ที่เรียกว่า จิตสัมบูรณ์ เป็นตัวตนสมบูรณ์ ครอบงำสรรพสิ่ง และเป็นสิ่งตรงข้ามกับโลกความเป็นจริงที่มนุษย์เห็นอยู่โดยทั่วไป เฮเกลอธิบายความจริงสูงสุดของโลกว่า คือ หลักเหตุผล (rational) มนุษย์จะเข้าถึงความจริงได้ก็ด้วยความเข้าใจในหลักเหตุผล หรือใช้กระบวนการทางตรรกวิทยา

อย่างไรก็ตามจุดเด่นในปรัชญาของเฮเกล คือ ทัศนะแบบวิภาษวิธี (dialectic) ที่อธิบายว่า จิตหรือตัวตนสมบูรณ์นี้แสดงออกในรูปของความขัดแย้ง 2 ด้าน คือ ด้านสนับสนุน และด้านปฏิเสธ ด้านหนึ่งเป็นบทเสนอ (thesis) ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นบทแย้ง (antithesis) และวิวัฒนาการการต่อสู้ระหว่าง 2 ด้านที่ขัดแย้งนี้เอง จะนำมาสู่การพัฒนาของสิ่งใหม่ที่จะเรียกว่า บทสรุป (synthesis) และบทสรุปนี้ก็จะกลายเป็นบทเสนอใหม่ ก่อให้เกิดบทแย้งใหม่ และนำมาสู่บทสรุป ใหม่ ไปจนสิ้นสุดกระบวนการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความเป็นจิตสมบูรณ์อันแท้จริง (BioLawCom. ออนไลน์)

จากแนวปรัชญาดังกล่าว แม้จะมีผู้สนใจศึกษาตามมามากมาย แต่ก็ยังมีข้อขัดแย้งทางความคิดปรากฏให้เห็นดังเช่น กลุ่มเฮเกลฝ่ายขวา เชื่อว่าลำดับการวิภาษทางประวัติศาสตร์นั้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพราะสังคมปรัสเซียที่ถึงพร้อมด้วยการบริการพลเมือง มีมหาวิทยาลัยที่ดี การพัฒนาทางอุตสาหกรรม และอัตราการจ้างงานที่สูง จึงเป็นผลสรุปของการพัฒนาการทางสังคมดังกล่าว นอกจากนั้น กลุ่มเฮเกลฝ่ายขวา ยังได้วิเคราะห์ศาสนา และยอมรับว่า ศาสนา เป็นสัจธรรมที่เป็นเหตุผล และพระเจ้าคือ พัฒนาการของเหตุผลสมบูรณ์ แต่กลุ่มนิยมเฮเกลฝ่ายซ้ายที่มาร์กซสังกัดอยู่กลับเชื่อว่า ยังจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบวิภาษอีก และสังคมปรัสเซียในขณะนั้นยังมีความไม่สมบูรณ์อีกมาก ทั้งนี้เนื่องจากสังคมยังมีความยากจน รัฐบาลยังคงใช้ระบบเซ็นเซอร์ที่เข้มแข็ง และยังเชื่ออีกว่า สาระของศาสนา คือ ความจริงที่บิดเบี้ยว การพัฒนาของศาสนา จึงมาจากด้านที่ไม่สมเหตุผล และคำสอนของศาสนา คือ มายาคติ (myth) ที่ถูกสร้างขึ้น ส่วนมาร์กซเองเชื่อว่า หลักการวิภาษวิธีนั้น สามารถนำมาใช้กับปรัชญาวัตถุนิยม เพื่ออธิบายสังคมและการเปลี่ยนแปลงสังคมได้เป็นอย่างดี (ยศ  สันตสมบัติ. 2538 : 6) ปรัชญาของมาร์กซจึงได้รับการขนานนามในเวลาต่อมาว่า วัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical materialism)

ตั้งแต่ ค.ศ. 1839 มาร์กซตัดสินใจทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาเอก เพื่อจะได้เข้าเป็นอาจารย์สอนปรัชญาในมหาวิทยาลัย เขาทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "ความแตกต่างระหว่างปรัชญาธรรมชาติของเดโมคริตัสกับปรัชญาธรรมชาติของเอพิคิวรัส ซึ่งเป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างนักปรัชญากรีก 2 คน ที่มีแนวคิดในเชิงวัตถุนิยม (materialism) ผลของการศึกษา มาร์กซชี้ให้เห็นว่า ความคิดของเดโมเครตัสเป็นแบบกลไกที่เห็นว่า สรรพสิ่งดำเนินไปภายใต้กฎเกณฑ์ทางวัตถุ แต่กลับคิดว่า ความรู้ที่ถูกต้องมาจากการคิด ซึ่งเท่ากับเป็นการตั้งข้อสงสัยต่อโลกของผัสสะ ขณะที่เอพิคิวรัสยอมรับโลกของผัสสะว่า เป็นความจริงแท้ แต่พยายามรักษาเจตจำนงอิสระของมนุษย์ และจุดมุ่งหมายไปสู่ความสุข ซึ่งเป็นการปฏิเสธการกำหนดโดยโลกของวัตถุ มาร์กซเห็นว่า ปรัชญาของเอพีคิวรัส มีข้อเด่นตรงที่ยอมรับในจิตเสรีของมนุษย์เหนือข้อกำหนดทางวัตถุ

แม้วิทยานิพนธ์ของมาร์กซจะดีมาก แต่สุดท้ายมหาวิทยาลัยฟรีดรีช-วิลเฮล์มก็ไม่ยอมให้มาร์กซส่งวิทยานิพนธ์ดังกล่าว เพราะถูกคาดหมายว่า งานของเขาอาจไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากขณะนั้น มาร์กซได้ชื่อว่า เป็นนักคิดแนวถอนรากถอนโคนในกลุ่มนิยมเฮเกิลรุ่นใหม่ มาร์กซจึงส่งวิทยานิพนธ์นั้นไปยังมหาวิทยาลัยเจนาแทน มหาวิทยาลัยเจนาจึงกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่มาร์กซจบการศึกษา และได้รับปริญญาเอกสาขาปรัชญา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1841 แต่ภายหลังก็ไม่ได้เป็นอาจารย์สอนปรัชญาดังที่ตั้งใจไว้ เนื่องจากบาวเออร์ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาถูกขับออกจากภาควิชาปรัชญาในปี ค.ศ. 1842 มาร์กซจึงเลิกสนใจปรัชญาและหันไปเป็นนักข่าว โดยทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Rheinische Zeitung ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้าของเมืองโคโลญน์ และกลายเป็นหนังสือพิมพ์ระดับชาติที่รณรงค์ในเรื่องประชาธิปไตย หนังสือพิมพ์ภายใต้การบริหารของมาร์กซ เคยถูกโจมตีจากหนังสือพิมพ์ออกสเบิร์กคู่แข่ง โดยมุ่งหวังเร่งเร้าให้รัฐบาลปิดหนังสือพิมพ์ของเขาในข้อหาเผยแพร่เอกสารคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้สืบเนื่องจากการลงข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มสังคมนิยมของฟูริเอร์ ซึ่งเปิดประชุมที่เมืองสตาร์บูร์กในขณะนั้น และในที่สุดหนังสือพิมพ์ภายใต้การบริหารของมาร์กซก็ถูกสั่งปิดลงในปี ค.ศ. 1843 เขาจึงกลับไปสนใจปรัชญาอีกครั้ง และหันไปเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองพร้อมกับทำงานเป็นนักข่าวอิสระ ต่อมาไม่นาน มาร์กซก็ต้องเดินทางลี้ภัย อันเนื่องมาจากการแสดงความเห็นแบบถอนรากถอนโคนของเขานั่นเอง

มาร์กซเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศส และได้เขียนบทความ ปัญหาชาวยิว (On the Jewish Question) ซึ่งเป็นบทวิพากษ์แนวคิดปัจจุบันเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองและการปลดปล่อยทางการเมือง ที่ปารีสเขาได้พบกับเฟรดเดอริก เองเกลส์ (Frederick Engels) ที่เดินทางมายังปารีส ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ.1844 และต่อมา ทั้งคู่ได้กลายเป็นเพื่อนร่วมงานกันตลอดชีวิตของพวกเขา เองเกลส์ได้กระตุ้นให้มาร์กซสนใจสถานการณ์ของชนชั้นทำงาน และช่วยแนะนำให้มาร์กซสนใจเศรษฐศาสตร์ เมื่อเขาและเองเกลส์ถูกภัยการเมืองคุกคามอีกครั้งในปี ค.ศ. 1845 อันเนื่องมาจากงานเขียน พวกเขาจึงย้ายไปยังกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และได้ร่วมกันเขียนบทความชื่อ อุดมการณ์เยอรมัน (The German Ideology) ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาของเฮเกล และกลุ่มนิยมเฮเกลรุ่นใหม่ บทความนี้ ถือเป็นงานชิ้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางรากฐานความคิด วัตถุนิยมวิภาษวิธี และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ของมาร์กซและเองเกลส์ เพื่อเสนอข้อถกเถียงและเป็นการทบทวนรากฐานทางปรัชญาของเยอรมัน โดยมีการเชื่อมโยงปรัชญาวัตถุนิยมมาอธิบายวิวัฒนาการทางสังคม การปฏิวัติทางสังคมของชนชั้นกรรมาชีพ และการสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ ถือเป็นแนวความคิดที่สามารถ พิสูจน์ทดลอง ได้จากความเป็นจริงทางสังคม และได้นำไปสู่แนวคิดทางปรัชญาลัทธิมาร์กซ (Marxism) ในเวลาต่อมา

หลังจากนั้น มาร์กซได้เขียน ความอับจนของปรัชญา (The Poverty of Philosophy) ซึ่งวิพากษ์ความคิดสังคมนิยมสายฝรั่งเศส บทความทั้งสองวางรากฐานให้กับ คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) อันเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดของมาร์กซและเองเกลส์ หนังสือ คำประกาศเจตนา เป็นผลงานที่สมาพันธ์คอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้อพยพชาวเยอรมันได้ร้องขอให้เขาเขียน และได้รับการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1848 ขณะเดียวกันยุโรปในช่วงเวลานั้น ได้เกิดการลุกฮือครั้งยิ่งใหญ่ กลุ่มคนงานได้เข้ายึดอำนาจจากกษัตริย์หลุยส์ ฟิลิปป์ ในฝรั่งเศส และได้เชิญมาร์กซกลับไปยังปารีส มาร์กซพยายามนำเสนองานสนับสนุนการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นกระฎุมพี เพื่อโค่นล้มระบอบกษัตริย์ มากกว่าสนับสนุนให้ชนชั้นกรรมาชีพลุกขึ้นปฏิวัติเอง เขาจึงเริ่มถูกโจมตีจากกลุ่มปีกซ้ายที่นำโดย อันดรีส กอตต์ชอลก์ ที่กล่าวหาว่า เขาประนีประนอมกับชนชั้นนายทุนมากเกินไป และไม่ได้ต่อสู้เพื่อกรรมาชีพอย่างแท้จริง หากแต่การต่อสู้ของมาร์กซจะทำให้กรรมาชีพต้องหลั่งเลือดเพื่อชนชั้นกระฎุมพี นอกจากนั้นยังมี โจเซฟ มอลล์ และ คาร์ล แชปเปอร์ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกับกอตต์ชอลก์ด้วย

 หลังจากที่รัฐบาลคนงานล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1849 มาร์กซได้ย้ายกลับไปยังโคโลญน์ และได้เริ่มทำหนังสือพิมพ์ Rheinische Zeitung ขึ้นมาใหม่ก่อนจะถูกสั่งปิดลงอีกครั้ง สุดท้ายเขาจึงย้ายไปยังลอนดอน ในปี ค.ศ. 1852 มาร์กซได้เขียนแผ่นพับ การปฏิวัติของหลุยส์โบนาปาร์ต (The Eighteenth Brumaire of Louis Bonaparte) โดยวิเคราะห์เหตุการณ์ที่นโปเลียนเข้ายึดประเทศฝรั่งเศส จากปี ค.ศ. 1852 ถึง 1861 ขณะที่อยู่ลอนดอน เขาทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวฝั่งยุโรปให้กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กทรีบูน (New York Tribune)

ในปีค.ศ. 1864 มาร์กซได้ก่อตั้งกลุ่มกรรมกรนานาชาติที่ต่อมาถูกเรียกว่า แนวร่วมระหว่างประเทศที่หนึ่ง เพื่อเป็นแกนหลักในการทำกิจกรรมทางการเมือง ในคำสุนทรพจน์เปิดงานนั้น มาร์กซได้อ้างถึงคำพูดของแกลดสโตน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษที่ได้กล่าวสุนทรพจน์แก่สภาผู้แทนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1863 ไปในทำนองที่ว่า "การเพิ่มขึ้นของความร่ำรวยและอำนาจอย่างเมามายนี้ เกิดขึ้นกับเฉพาะชนชั้นที่มีทรัพย์สินเท่านั้น" เขายังอ้างถึงคำพูดนี้อีกในหนังสือ เกี่ยวกับทุน (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. ออนไลน์) ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ มาร์กซได้ทุ่มเทเวลาไปกับการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์และเชิงทฤษฎี สำหรับการเขียนหนังสือ Das Kapital หรือ ทุน: บทวิพากษ์ทางเศรษฐศาสตร์การเมือง มาร์กซตีพิมพ์เล่มแรกของชุดในปี ค.ศ. 1867 สำหรับอีกสองเล่มที่เหลือนั้น เองเกลส์ได้เรียบเรียงจากบันทึกและร่างต่างๆ ของมาร์กซ และตีพิมพ์หลังจากที่มาร์กซเสียชีวิตแล้ว หนังสือ ว่าด้วยทุน ของมาร์กซ์ถือเป็นผลึกมันสมองทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ยิ่งใหญ่เป็นอมตะไปอีกนานเท่านาน เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยทุนนิยม ที่ละเอียดและลึกซึ้งหาที่สุดมิได้

ในหนังสือ Das Kapital เล่มที่ 1 นั้น (คาร์ลมาร์กซ์ และเมธี เอี่ยมวรา. 2542:231-232) สรุปได้ว่า  คาร์ลมาร์กซ์ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความละโมบต่อแรงงานส่วนเกินของเจ้าของโรงงานและเจ้าศักดินาว่า กรรมกรในแต่ละ 1 นาทีได้ทำงานแก่ตน 30 วินาทีได้ทำงานให้แก่นายทุน 30 วินาทีเป็นอาทิ แต่แรงงานเกณฑ์มิได้เป็นเช่นนี้ ดังเช่นเวลาแรงงานที่ชาวนาใน Wallachian จะต้องทำให้สำเร็จเสร็จสิ้น เพื่อรักษาชีวิตของตัวของเขาเองให้อยู่รอดกับแรงงานส่วนเกินที่เขาทำให้แก่เจ้าศักดินา จะแยกออกจากกันในทางเทศะ เขาได้ใช้แรงงานที่จำเป็นทำงานให้สำเร็จเสร็จสิ้นในที่ดินของตัวเอง ได้ใช้แรงงานส่วนเกินทำงานให้เสร็จสิ้นในที่ดินของเจ้าศักดินา ดังนั้น เวลาแรงงานทั้ง 2 ส่วนนี้ ต่างก็เป็นอิสระต่อกัน ในรูปแบบแรงงานเกณฑ์นั้น แรงงานส่วนเกินและแรงงานจำเป็นจะแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด ข้อแตกต่างในรูปแบบที่แสดงออกดังกล่าวนี้ เป็นที่กระจ่างชัดว่า จักไม่เปลี่ยนแปลงอัตราสัดส่วนเปรียบเทียบทางปริมาณระหว่างแรงงานส่วนเกินและแรงงานที่จำเป็นแต่ประการใด แรงงานส่วนเกิน 3 วันในแต่ละสัปดาห์ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นแรงงานเกณฑ์หรือจะเรียกว่าเป็นแรงงานว่าจ้างก็ตาม ต่างก็เป็นแรงงาน 3 วันที่ไม่มีค่าตอบแทนของผู้ใช้แรงงานเอง เพียงแต่ว่าความโลภของนายทุนต่อแรงงานส่วนเกิน จักแสดงออกเป็นความกระหายที่ใคร่จะยืดขยายวันการทำงานให้ยาวออกไปอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด แต่ความละโมบของเจ้าศักดินาจักแสดงออกค่อนข้างจะง่ายๆ มุ่งที่จะแสวงหาจำนวนวันการเกณฑ์ใช้แรงงานโดยตรงเท่านั้น

ประมวลกฎหมายการเกณฑ์แรงงานตามที่เรียกกันว่า ข้อบังคับขององค์กร ชาวนาแต่ละคนใน Wallachian นอกจากจะต้องมอบส่วยบรรณาการที่เป็นสิ่งของในปริมาณจำนวนมาก ที่ได้กำหนดอย่างละเอียดแล้ว ยังจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ผู้เรียกว่าเจ้าของที่ดินดังนี้ 1) วันการทำงานโดยทั่วไป 12 วัน  2) วันการทำงานในนา 1 วัน  3) วันการทำงานที่ขนย้ายไม้ 1 วัน ปีหนึ่งรวม 14 วัน ... นอกจากนั้นยังจะต้องบวกที่เรียกว่า “Jobagie” เข้าไปอีกด้วย นั่นก็คือ แรงงานบังคับ (หรือแรงงานเกณฑ์) ที่จะต้องบริการในขณะที่เจ้าของที่ดินมีความต้องการเป็นกรณีพิเศษ (คาร์ล มาร์กซ์ และเมธี เอี่ยมวรา. 2542:233)

ในหนังสือ Das Kapital เล่มที่  2 นั้น  เมธี เอี่ยมวรา ได้แสดงทัศนะว่า ใน ว่าด้วยทุน นี้ มาร์กซ์ได้สาธกกฎเกณฑ์ของระบบทุนนิยมไว้มากมาย มีประเด็นที่สำคัญพอสรุปได้ดังนี้

1. การหมุนเวียน (circulating) ของทุนเป็นหัวใจสำคัญของทุนนิยม ถ้าหากทุนไม่หมุนเวียนเกิดการชะงักงัน ทุนนิยมก็จะเกิดการซบเซา หรืออาจถึงกับเกิดวิกฤตการณ์ได้ ทั้งนี้ก็เพราะในระบบทุนนิยม ก่อนอื่นจะต้องมีทุนเงินตราก่อน ครั้นแล้ว ทุนเงินตรานี้จะเปลี่ยนพลิกเป็นทุนการผลิต ทุนการผลิตนี้ก็จะเปลี่ยนพลิกเป็นทุนสินค้า ครั้นแล้วทุนสินค้านี้ก็จะเปลี่ยนเป็นทุนเงินตราอีก ซึ่งการหมุนเวียนดังกล่าวนี้ ก็จะมีบทบาทก่อให้เกิดการเพิ่มงอก (valorization) ของทุนขึ้น

2. หลักเศรษฐศาสตร์ของระบบทุนนิยมอีกอย่างหนึ่งก็คือ มูลค่า และมูลค่าในการใช้สอย สินค้าอย่างหนึ่งนี้จะมีทั้งมูลค่าและมูลค่าใช้สอย ถ้ามูลค่าของสินค้านั้นๆ ไม่เป็นที่ยอมรับหรือไม่มีมูลค่าในการใช้สอย หรือมีมูลค่าในการใช้สอยไม่สมมูลค่าแล้ว สินค้านั้นๆ ก็จะขายไม่ได้ เมื่อสินค้าขายไม่ได้แล้ว ก็จะต้องเกิดเศรษฐกิจวิกฤต

3. การหมุนรอบ (turnover) ของทุนก็เป็นหัวใจสำคัญของระบบทุนนิยม การลงทุนใดๆ ถ้าทุนที่ลงไปนั้นไม่หมุนกลับก็จะต้องเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

การหมุนเวียนของทุน หรือการไม่หมุนเวียนของทุนในระบบของทุนนิยมย่อมทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูหรือฟุบได้ มูลค่าและมูลค่าในการใช้สอยของสินค้าเมื่อเกิดขัดแย้งกันย่อมทำให้เศรษฐกิจเกิดวิกฤตได้ การหมุนรอบของทุนช้าย่อมทำให้กิจการค้าของผู้ดำเนินกิจการไม่ประสบผลสำเร็จ ถ้าทุนไม่หมุนกลับย่อมทำให้กิจการของผู้ลงทุนเกิดวิกฤต ถ้าทุนหมุนรอบเร็วย่อมทำให้กิจการของผู้ลงทุนเจริญเฟื่องฟู (คาร์ล มาร์กซ์ และเมธี เอี่ยมวรา. 2543:ไม่ปรากฏเลขหน้า)

ในหนังสือ Das Kapital เล่มที่ 3 มาร์กซและเองเกลส์ได้ดำเนินการสำรวจว่าด้วย อัตราแห่งผลกำไร คือ ปัญหาที่ถือกันว่าเป็นข้อวิเคราะห์สำคัญที่สุดในคติเศรษฐกิจการเมือง ซึ่งแตกต่างจากการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ เพราะเป็นการวิเคราะห์แจกแจงเกี่ยวกับค่าเช่า ดอกเบี้ย และระบบสินเชื่อ นอกจากนั้นมาร์กซยังได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีวิกฤตกาลทางเศรษฐกิจ ซึ่งเขาได้กล่าวถึงอย่างประปรายในหนังสือเล่มที่ 1 และ 2 อย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม

กล่าวโดยรวมหนังสือชุดนี้ กลายเป็นคัมภีร์เศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างแท้จริง   และในหนังสือ ว่าด้วยทุน นี้ แสดงให้เห็นว่า มาร์กซ์ได้ค้นพบแหล่งขุมทรัพย์แห่งความมั่งคั่งของสังคมที่ได้มาจากแรงงานส่วนเกินหรือมูลค่าส่วนเกิน การขูดรีดแรงงานเป็นแหล่งขุมทรัพย์ ที่ทำให้นายทุนเกิดความร่ำรวย มาร์กซสังเกตว่า ในทุกๆอุตสาหกรรมที่ประสบผลสำเร็จ ค่าจ้างแรงงานจะมีราคาต่ำกว่าราคาของสินค้าที่ผลิตได้ มาร์กซเรียกความแตกต่างนี้ว่า "มูลค่าส่วนเกิน" และอธิบายว่า กำไรของนายทุนนั้น เกิดจากมูลค่าส่วนเกินนี่เอง อีกทั้งในหนังสือชุดนี้ ยังแสดงให้เห็นว่า มาร์กซจงใจที่จะพิสูจน์อะไร ทำไมวงการศึกษาทั่วโลกจึงยกย่องว่าเป็น หลัก ของระบบเศรษฐกิจสังคมที่เรียกว่า ระบบมาร์กซิสม์

สุภา ศิริมานนท์ กล่าวสรุปว่า มาร์กซมีความจงใจที่จะพิสูจน์ประเด็นต่างๆ รวม 4 ประการคือ

1. มาร์กซต้องการที่จะสำแดงให้เห็นประจักษ์ว่า ระบบทุนนิยมนั้น จะต้องทำลายตัวของมันเอง พลังในการทำลายตนเองดังกล่าวนี้ จะเอากำเนิดขึ้นมาจากภายในตัวระบบทุนนิยมนั้นเอง และพลังทำลายนี้ จะดำเนินงานของมันผ่านออกมาทางชนชั้นกรรมาชีพ อันเป็นชนชั้นที่มิได้เป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต

2. มาร์กซต้องการที่จะพิสูจน์ว่า มรณกรรมหรือความพินาศของระบบทุนนิยมนั้น เป็นสิ่งซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อย่างเด็ดขาด

3. มาร์กซต้องการที่จะพิสูจน์ว่า สถาบันต่างๆ ของเศรษฐกิจ ล้วนแต่เป็นผลอันเนื่องมาจากความขัดแย้งขั้นรากฐานทางเศรษฐกิจระหว่างพลังสองฝ่าย นั่นคือ ฝ่ายหนึ่งได้แก่ แบบแผนของการเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิตอันล้าหลัง และองค์การจัดตั้งทางสังคมอันล้าหลัง อีกฝ่ายหนึ่งได้แก่ พัฒนาการของเทคนิคในการผลิต และพัฒนาการของเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต ซึ่งนับวันก็มีแต่จะคลี่คลายก้าวหน้าเรื่อยไปอย่างไม่มียับยั้ง

4. มาร์กซมีความจงใจที่จะพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ว่า ปัจเจกชนแต่ละคนนั้น ตามความเป็นจริงที่แท้แล้วก็ถูกถือว่า หรือก็ได้รับการปฏิบัติต่อในฐานะที่ปัจเจกชนนั้นๆ เป็น ตัวแทน คนหนึ่งแห่งชนชั้นทางเศรษฐกิจที่เขาสังกัดอยู่เท่านั้นเองเป็นสำคัญ (สุภา ศิริมานนท์. 2530:26-27)

มาร์กซมองสังคมแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ 1) โครงสร้างส่วนล่าง หรือระบบเศรษฐกิจอันประกอบไปด้วยวิธีการผลิต และ 2) โครงสร้างส่วนบน อันประกอบไปด้วยการเมือง การปกครอง ระบบความคิด ความเชื่อ และค่านิยมทางสังคมต่างๆ  มาร์กซเชื่อว่า โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ถูกกำหนดโดยวิธีการผลิต จะเป็นสิ่งก่อให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้น และประวัติศาสตร์คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือวิวัฒนาการที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ที่มีสาเหตุมาจากความแปลกแยกและสำนึกทางชนชั้นที่เกิดขึ้นเพราะ (1) คุณค่าของมนุษย์ถูกลดลงเป็นเพียงสินค้า เพื่อผลกำไรของนายทุน (2) การแบ่งแยกงาน ทำให้ผู้ผลิตถูกลดค่าลงเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ของเครื่องจักร ความพึงพอใจในงานที่ตนทำถูกทำลายลง และ (3) ค่าจ้างที่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานได้รับเป็นเพียงส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรที่นายทุนได้รับ จะเห็นได้ว่ามีคุณค่าส่วนเกิน (surplus value) หลงเหลืออยู่มาก ชนชั้นผู้ใช้แรงงานต้องทำงานอย่างหนัก แต่ได้รับค่าตอบแทนพอใช้ประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น (ยศ สันตสมบัติ. 2538: 7-8)

อย่างไรก็ตาม แนวคิดและทฤษฎีที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของมาร์กซและเองเกลส์ม มักมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองแอบแฝงอยู่ด้วย นอกจากจะนำเอาหลักปรัชญาของเฮเกล ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน และหลักเศรษฐศาสตร์ของริคาร์โด เขายังนำเอาแนวความคิดมาจากนักมานุษยวิทยาอีกหลายๆ ท่าน เช่น มอร์แกน เพื่อมาใช้เป็นผลประโยชน์ทางการเมือง

สำหรับมาร์กซ ทฤษฎีวิวัฒนาการช่วยให้มนุษย์ละทิ้งความเชื่ออันงมงาย อันเกิดจากการครอบงำของชนชั้นปกครอง และสถาบันศาสนาที่เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง มาร์กซเชื่อว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีการเลือกสรรตามธรรมชาติ (natural selection)  เป็นการอธิบายมนุษย์ตามแนววัตถุนิยม และท่านได้พยายามที่จะค้นหาทฤษฎีวิวัฒนาการที่คล้ายคลึงกับทฤษฎีของดาร์วิน เพื่อมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ โดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจหรือวิธีการผลิต (ยศ สันตสมบัติ. 2538: 14)

ส่วนทฤษฎีทางด้านมานุษยวิทยา ที่มาร์กซและเองเกลส์นำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองนั้น พวกเขาให้ความสนใจหลักฐานทางมานุษยวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งของมอร์แกน เพื่อนำไปอธิบายประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของสังคมก่อนระบบทุนนิยม ข้อมูลทางมานุษยวิทยาถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในการสร้างทฤษฎีสากล เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ และการเกิดขึ้นของระบบทุนนิยม การศึกษาเปรียบเทียบขั้นตอนของวิวัฒนาการสังคมที่มอร์แกนทำนั้น มอร์แกนมิได้เพียงจัดแบ่งขั้นตอนของวิวัฒนาการออกจากกันเท่านั้น แต่ยังพยายามค้นหา กลไก ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอีกด้วย และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการผลิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ค่อยๆ สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จากแนวคิดดังกล่าว ได้นำไปสู่พื้นฐานที่สำคัญของการอธิบายระบบทุนนิยมของมาร์กซและเองเกลส์ในเวลาต่อมา

มาร์กซและเองเกลส์ศึกษาระบบครอบครัวและระบบเครือญาติในสังคมทุนนิยมว่า มีความแตกต่างจากระบบสังคมแบบดั้งเดิมของมอร์แกน ที่ความสัมพันธ์ทางการผลิตจะเป็นไปในลักษณะของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ส่วนครอบครัวและระบบเครือญาติในสังคมทุนนิยมถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยม ที่มีลักษณะของการแข่งขัน และการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ การที่นายทุนสามารถเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงานได้นั้น เป็นเพราะนายทุนสามารถผูกขาดเครื่องมือในการผลิตที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพวกนายทุน นอกจากนั้น มาร์กซยังนำเอาแนวความคิดทฤษฎีเกี่ยวกับระบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิมของมอร์แกนมาใช้ ระบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิมเป็นระบบที่ทรัพย์สินเป็นของส่วนรวม แนวความคิดเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวยังไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น แนวความคิดเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวที่เกิดขึ้นในสังคมทุนนิยม จึงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการกดขี่ (exploitation)

จะเห็นได้ว่า มาร์กซและเองเกลส์พยายามนำเอาข้อมูลและแนวความคิดของนักมานุษยวิทยาร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมอร์แกน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของพวกเขา เพื่อแสดงให้เห็นว่า สังคมต่างๆ ที่อยู่ในระดับขั้นตอนการวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน เช่น สังคมดั้งเดิม สังคมศักดินา สังคมทาส และสังคมทุนนิยม จะมีรูปแบบการทำงาน และกฎเกณฑ์ทางสังคมที่แตกต่างกันออกไป และสังคมดั้งเดิมไม่มีชนชั้น แต่สังคมทุนนิยมในความหมายของมาร์กซ เป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นและการเอารัดเอาเปรียบ แนวคิดเรื่อง ชนชั้น จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของลัทธิมาร์กซิสม์

อย่างไรก็ตาม จากแนวความคิดทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ความขัดแย้งทางสังคมของมาร์กซและเองเกลส์เอง กลับทำให้พวกมาร์กซิสต์รุ่นต่อๆ มา ไม่สามารถนำเอาทฤษฎีดังกล่าว ไปใช้อธิบายสังคมแบบดั้งเดิมได้ เนื่องจากสังคมดั้งเดิมนั้น ไม่มีการแบ่งชนชั้น จึงทำให้พวกมาร์กซิสต์รุ่นต่อๆ มา หันไปหาคำอธิบายสังคมดั้งเดิมในลักษณะอื่นๆ แทน  จากข้อผิดพลาดดังกล่าว ยศ สันตสมบัติ (2538: 29-30) แสดงทัศนะว่า ประวัติศาสตร์ของมานุษยวิทยามาร์กซิสต์ จึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งความล้มเหลว การนำเอาทฤษฎีของมาร์กซไปประยุกต์กับแนวความคิดของนักมานุษยวิทยารุ่นเก่า เพื่อใช้อธิบายรูปแบบและการทำงานของสังคมดั้งเดิม ก่อให้เกิดความสับสนต่อทฤษฎีมาร์กซิสม์ และก่อให้เกิดภาพสังคมดั้งเดิมที่ปราศจากชนชั้นอันเป็นภาพลวงที่ไร้สาระ และห่างไกลจากความเป็นจริงมากที่สุด

บรรณานุกรม


คาร์ล มาร์กซ์. (2542). Das Kapital ว่าด้วยทุน เศรษฐศาสตร์การเมืองวิพากษ์ เล่ม 1.แปลโดย เมธี เอี่ยมวรา. กรุงเทพฯ : อักษรพิทยา.

คาร์ล มาร์กซ์. (2543). Das Kapital ว่าด้วยทุน เศรษฐศาสตร์การเมืองวิพากษ์ เล่ม 2 .แปลโดย เมธี เอี่ยมวรา. กรุงเทพฯ : อักษรพิทยา.

ชลชินี และ ทัณฑิกา. (2549). คาร์ล มาร์กซ. สืบค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2551 จาก http://my.dek-d.com/phatty/story/viewlongc.php?id=129981&chapter=18

ยศ  สันตสมบัติ. (2538). จากวานรถึงเทวดา : มากซิสม์และมานุษยวิทยามากซิสต์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. คาร์ล มาร์กซ. สืบค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2551 จาก http://th.wikipedia. org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5_%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%8B

สุภา  ศิริมานนท์. (2530). มาร์กซจงใจพิสูจน์อะไรอย่างไร? : คำบรรยายว่าด้วยโลกทรรศน์ของมาร์กซในทางเศรษฐกิจการเมือง. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์.

Biolawcom. คาร์ล มาร์กซ. สืบค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2551 จาก http://biolawcom. de/?/article/153

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น