หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

(038) ธรรมาปาฏิหาริย์ อำนาจแห่ง "พุทโธ"




❇️ บันทึกนักภาวนา 4/2555
❇️ ธรรมาปาฏิหาริย์ อำนาจแห่ง "พุทโธ" 
 
          ท่านทั้งหลาย มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือ ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555  ก่อนที่บุรุษผู้หนึ่ง จะเดินทางไปกราบครูอาจารย์ที่กาฬสินธุ์ เขาได้รับโทรศัพท์จากพี่เขยว่า พี่สาวของเขาจะเข้าโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดมะเร็งเต้านม (ระยะแรก) ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ นครราชสีมา แบบเร่งด่วน แต่บุรุษผู้เป็นน้องชาย มีโปรแกรมต้องเดินทางไปกาฬสินธุ์ เขาจึงบอกพี่สาวไปว่า ..."ผมไม่ได้อยู่ดูแลนะ ขอให้เข้าโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดตามกำหนด แล้วผมจะภาวนาช่วย และให้ภาวนา "พุทโธ" นะ"... เธอตอบตกลง

          ความจริงแล้ว พี่สาวและพี่เขยของบุรุษผู้นี้ ต่างมีจิตใจใฝ่ในธรรม มักเข้าวัดทำบุญอยู่เป็นประจำ เนื่องจากครอบครัว คือ ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายลงมา จนถึงรุ่นพ่อแม่ มักมีความผูกพันอยู่กับวัด โดยเฉพาะยายและแม่ มักใส่บาตร ไปจังหันและเพลอยู่ทุกวันมิเคยขาด พอวันพระ ท่านก็จะนุ่งขาวห่มขาวไปรักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่ที่วัด และเมื่อถึงวันพระคราใด ไม่บุรุษผู้น้องชาย หรือก็พี่สาว จะต้องทำหน้าที่ถือเสื่อสาดหมอน ไปส่งไปรับแม่และยายที่วัดเป็นประจำ ซึ่งเป็นนิสัยที่ต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ 

         ต่อมา เมื่อราวปี 2553 พี่สาวและพี่เขย เริ่มเข้าวัดอย่างจริงจัง เพื่อภาวนาและถือศีลแปด เช่นเดียวกันกับแม่ของเขา และในที่สุด เธอก็โชคดี เมื่อได้พบและได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร ที่พักสงฆ์โคกปราสาท ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเธอ ราว 11 กิโลเมตร หลังจากนั้น ปลายปี 2554 บุรุษผู้เป็นน้องชาย ก็ตามไปถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแห่งโคกปราสาท อีกทั้งผู้เป็นมารดาก็ได้ร่วมติดตามไปปฏิบัติธรรมด้วย

         หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร ท่านมีปัญญาญาณอันกว้างไกล ท่านบอกพี่สาวไว้ล่วงหน้าแล้วว่า... "แตงโมที่ปลูกไว้ ก็งามดีดอก ได้เงินมากอยู่ แต่ก็ขอให้เก็บเงินไว้รักษาตัวเองด้วยเด้อโยม"... แล้วท่านก็สอนให้ภาวนา "พุทโธ" และให้พิจารณาถึงความตาย ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอารมณ์ ให้พิจารณาร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเลย โดยมีคำภาวนา "พุทโธ" เป็นหลัก ซึ่งพี่สาวได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อเธอเริ่มภาวนาสมาธิครั้งแรกนั้น ปรากฏว่า จิตของเธอสงบเร็วมาก จนเกิดภาพนิมิต เห็นภาพพระสงฆ์และแม่ชีสลับกัน นั่นจึงเป็นกำลังใจ ให้เธอมุ่งปฏิบัติธรรมเรื่อยมา

         ท่านทั้งหลาย ครั้งแรกที่เธอเริ่มสัมผัสก้อนเนื้อร้ายที่เต้านมได้ เธอไม่ประมาท จึงได้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หมอวินิจฉัยว่า เธอเป็นมะเร็ง เธอตกใจเล็กน้อย แต่ด้วยคุณแห่งการภาวนา และการพิจารณาสังขารอยู่เป็นประจำ พร้อมทั้งการพิจารณาเรื่องของเวรกรรม ที่ต้องชดใช้เจ้ากรรม จึงช่วยให้เธอระงับความวิตกกังวลได้  

         ต่อมาไม่นาน หมอได้นัดให้เธอมาตรวจอีกครั้ง เพื่อผ่าตัดเอาก้อนเนื้อตัวอย่างไปตรวจ (ยังไม่ตัดเต้านม) ปรากฏว่า ในขณะที่หมอกำลังผ่าตัดอยู่นั้น มีดผ่าตัดอันคมกริบ กลับไม่สามารถกรีดผิวหนังของเธอเข้าไปได้ เธอได้ยินหมอเรียกให้พยาบาลเอามีดเล่มใหม่มาให้ พร้อมกับพูดว่า "ผ่าไม่เข้า" เมื่อเปลี่ยนมีดเล่มใหม่แล้ว ก็ยังไม่สามารถกรีดเข้าอีก จนกระทั่งเล่มที่สาม จึงสามารถผ่าได้ เธอเล่าให้ฟังว่า เธอภาวนา "พุทโธ" อยู่ตลอดเวลา นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งแรก

        ต่อมา เมื่อทราบผลชัดเจนแล้วว่า เธอเป็นมะเร็งร้ายในระยะแรก เธอจึงตัดสินใจเข้าไปผ่าตัดด่วน ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี นครราชสีมา ในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้โทรศัพท์มาแจ้งบุรุษผู้เป็นน้องชาย พร้อมกับขอให้น้องชายภาวนาช่วยเธอด้วย เขาจึงบอกให้เธอภาวนา และขอให้อุทิศบุญกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรนะ ให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ และครูอาจารย์ ขอบุญกุศลทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว จงมาระงับความเจ็บปวดทั้งหลายด้วย 

         ต่อมา ประมาณบ่ายสามโมง เธอได้เข้าห้องผ่าตัด ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่บุรุษผู้เป็นน้องชาย ได้ส่งจิตอธิษฐานไปให้กำลังใจตามที่เธอขอร้อง ขณะที่ตัวเธอเองก็ได้ภาวนา "พุทโธ" อยู่ตลอดเวลา เมื่อพยาบาลนำเครื่องวัดหัวใจที่ใช้ในการผ่าตัด แม้เครื่องวัดจะมีกระแสไฟฟ้าเข้าปรกติ แต่ปรากฏว่า เข็มวัดและคลื่นวัดไม่ทำงาน แม้จะเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้วก็ตาม แต่มันก็หยุดนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น พยาบาลและหมอ ต่างสาละวนว่า เกิดอะไรขึ้น พยาบาลเอ่ยปากถามพี่สาวว่า "ป้าๆ มีของดีของขลังอะไรอยู่ในตัวหรือเปล่า" พี่สาวตอบว่า "ไม่มีอะไรคุณหมอ" จนเวลาล่วงเลย คือยานอนหลับออกฤทธิ์ไม่รู้สึกตัวแล้ว หมอจึงลงมือผ่าตัดได้ นั่นจึงเป็นปาฏิหาริย์  ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่สอง

        ต่อมา เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว หมอให้เธอมาพักผ่อนในห้องพิเศษเหมือนคนไข้ทั่วๆไป แต่ปรากฏว่า เธอไม่มีอาการเจ็บปวดหรือเป็นไข้ใดๆ หมอมาตรวจมาวัดทุกครั้ง ก็ได้คำตอบว่า ปรกติเหมือนคนทั่วไป ดูหน้าตาก็แจ่มใส กินอาหารได้มากกว่าปรกติ แผลก็หายเร็วกว่าปรกติ จนหมอสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น หรือเป็นการผ่าตัดเอาเต้านมออก โดยไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือไม่ เนื่องจากหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เอาผลการตรวจมาจากโรงพยาบาลแรก โดยไม่ได้ตรวจซ้ำ จึงเกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ครั้งที่สาม 

        เมื่อบุรุษผู้เป็นน้องชาย ได้เดินทางกลับจากกาฬสินธุ์แล้ว ได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล พร้อมกับได้อธิษฐานจิตแผ่พลังเมตตา เธอโน้มจิตรับเอาด้วยศรัทธา เธอบอกว่า มีพลังวิ่งไปทั่วร่างของเธอ เธอเกิดความปีติยินดี เพราะกระแสแห่งความเย็น ได้แผ่ซ่านไปทั้งตัวเธอ ต่อมา เธอจึงได้ปวารณาตัวว่า หากน้องชายออกบวชเมื่อไร เธอจะขอติดตามไปภาวนาด้วย และจะขอภาวนาไปตลอดชีวิต นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่สี่ 

         ท่านทั้งหลาย ในวันต่อมา เธอเล่าให้ฟังว่า ประมาณช่วงตีสาม เธอได้ลุกขึ้นมาภาวนาบนเตียงคนไข้ นานจนถึงเกือบสว่าง ได้ปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาว่า มีผู้หญิงผมยาวมายืนหน้าเศร้าอยู่ข้างเตียง บุรุษผู้เป็นน้องชาย จึงบอกให้เธออุทิศบุญให้เขานะ เขาคงมาขอส่วนบุญ พอคืนต่อมา ขณะที่เธอนั่งภาวนาบนเตียงคนไข้เหมือนเดิม ก็ปรากฏเห็นภาพเด็กหนุ่มมีเลือดเต็มศรีษะ มายืนอยู่ข้างเตียงอีก พร้อมกับเห็นภาพคนนอนตายอยู่ข้างโรงพยาบาลด้วย เธอจึงได้อุทิศแผ่บุญกุศลไปให้ เมื่อมีญาติๆ มาเยี่ยม ต่างก็แปลกใจว่า ทำไมเธอไม่เหมือนคนไข้ แถมยังมีหน้าตาสดชื่นผ่องใส แถมยังได้โปรดพวกวิญญาณอีกต่างหาก นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่ห้า

         ท่านทั้งหลาย ที่ผู้เขียนนำเอาเรื่องราวนี้ มาเล่าสู่กันฟัง มิใช่จะยกตัวตนผู้ใดขึ้นมา แต่ก็เพื่อให้พวกเราได้ตระหนัก และเชื่อมั่นในคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และขอให้เชื่อมั่นในพลานุภาพแห่งคำภาวนา "พุทโธ" นั้น ชั่งยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือนได้ และขอให้เชื่อในเรื่องของบุญกุศล หรือแม้แต่การอุทิศแผ่บุญกุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวร และดวงวิญญาณต่างๆนั้น นับว่ามีอานิสงส์มาก และขอให้เชื่อมั่นว่า "ธรรมาโอสถ" นั้น เป็น "ธรรมาปาฏิหาริย์" ที่สามารถระงับความเจ็บปวดได้จริง นี่คือผลของการเจริญภาวนา "พุทโธ" และพิจารณาถึงความตาย ตามคำสอนของพระพุทธองค์ และตามคำแนะนำของหลวงพ่อแห่งโคกปราสาท จึงส่งผลอย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้ว จึงขออนุโมทนา กับผู้ที่ได้อ่านเจอข้อความนี้ ทุกท่านเทอญ

        ขอเจริญในธรรม
        อกุปปธรรม
        11 กุมภาพันธ์ 2555

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563

(035) สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) กับการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๙ ของโลก

  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล


          ท่านทั้งหลาย ผู้เขียนขออัญเชิญพระราชประวัติ ขององค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าแห่งกรุงธนบุรี และยังเป็นองค์ปฐมพระสังฆราชเจ้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์อีกด้วย ซึ่งพระสังฆราชพระองค์นี้ นับเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ ในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ ๒ และโดยเฉพาะการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๙ ของโลก หรือที่เรียกว่า "นวมสังคายนาพระไตรปิฎก" ที่บังเกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย

          หมายเหตุ... ผู้เขียนเรียบเรียงจากบทความที่มีผู้ส่งมาให้ จึงไม่ทราบที่มาของข้อมูลทั้งหมด จึงต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความเดิม มา ณ โอกาสนี้ด้วย ส่วนเนื้อหาหลักทั้งหมดเป็นความจริงตามประวัติศาสตร์ แต่เนื้อหาบางตอน อาจซ่อนปริศนาบางอย่างที่ต่างไปจากความเป็นจริง ซึ่งต้องดูจากญาณในของพระอรหันตเจ้า โดยเฉพาะช่วงปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งอาจไม่ตรงกับประวัติศาสตร์หลายประเด็น อันนี้ โปรดพิจารณากันเอาเอง


สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)



"สมเด็จพระสังฆราชสองแผ่นดิน"
สมเด็จพระสังฆราช "องค์ที่สอง" แห่งกรุงธนบุรี
และเป็นพระสังฆราช "องค์แรก" แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


         สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๓๗ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า "ศรี" (บางตำราเขียนว่า "สี") พระประวัติในเบื้องต้นมีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่า เดิมเป็นเพียง พระอาจารย์ศรี ทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดพนัญเชิง อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์ พระสงฆ์ถูกฆ่า วัดวาอาราม พระไตรปิฎก ถูกเผาทำลายวอดวายจนสิ้นเชิง พระภิกษุสามเณรต่างก็พากันหลบภัยไปอยู่ตามวัดต่างๆ ในต่างจังหวัด พระอาจารย์ศรีก็ได้หลบภัยสงครามไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในเมืองนครศรีธรรมราช ที่ซึ่งพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด

         ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงยกทัพ ไปปราบก๊กเจ้านครซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ ที่เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้อาราธนาพระอาจารย์ศรี ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่(ปัจจุบันคือ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร) เนื่องด้วยทรงคุ้นเคยและรู้จักเกียรติคุณของพระอาจารย์ศรี มาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ในขณะนั้น พระอาจารย์ดี ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อน แต่ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบว่า พระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่นให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่ จึงโปรดให้ถอดออกจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระอาจารย์ศรีขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แทน ในพ.ศ. ๒๓๑๒ นั้นเอง นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี



สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ถ่ายภาพจากจอโทรทัศน์โดย ดร.นนต์


ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

         ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)ได้ถูกถอดจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถวายวิสัชนาร่วมกับ พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม(วัดพระเชตุพนหรือวัดโพธิ์) เรื่องพระสงฆ์ปุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล เนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหินเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่สูง เพราะทรงผ้ากาสาวพัสตร์และพระจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ดังความว่า “ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”

         ข้อวิสัชนาดังกล่าวนี้ ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระสังฆราช ลงมาเป็นพระอนุจร (พระธรรมดา) แล้วทรงตั้งพระโพธิวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช และตั้งพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระวันรัต เหตุการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) และพระราชาคณะทั้งสองรูปดังกล่าว เป็นพระเถระที่เคร่งครัดมั่นคงในพระธรรมวินัย แม้จะต้องเผชิญกับราชภัยอันใหญ่หลวง ก็มิได้หวั่นไหว นับเป็นพระเกียรติคุณที่สำคัญประการหนึ่ง ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น



สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ถ่ายภาพจากจอโทรทัศน์โดย ดร.นนต์


ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ ๒

          ครั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งดังเดิมให้แก่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

          “ทรงพระราชดำริว่า ฝ่ายข้างอาณาจักรได้แต่งตั้งข้าราชการตามตำแหน่งเสร็จแล้ว ควรจะจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเสื่อมทรุดเศร้าหมองนั้นให้วัฒนารุ่งเรืองสืบไป จึงดำรัสให้สึกพระวันรัต(ทองอยู่) กับพระรัตนมุนี (แก้ว) ออกเป็นฆราวาส ดำรัสว่าเป็นคนอาสัตย์สอพลอทำให้เสียแผ่นดิน.....ดำรัสให้สมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม ซึ่งเจ้ากรุงธนบุรีให้ลงโทษถอดเสียจากพระราชาคณะ เพราะไม่ยอมถวายบังคมนั้น โปรดให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเก่า ให้คืนไปอยู่ครองพระอารามตามเดิม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ดำรัสสรรเสริญว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพสักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีไปภายหน้า จะให้ประชุมพระราชาคณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามว่าอย่างไรแล้ว พระราชาคณะอื่นๆ จะว่าอย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ซึ่งจะเชื่อถือฟังความตามพระราชาคณะอื่นๆ ที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้ ด้วยเห็นใจเสียครั้งนี้แล้ว”

          ความในพระราชดำรัสดังปรากฏในพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นที่ทรงเคารพนับถือ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นอันมาก ทั้งเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในการที่จะฟื้นฟูทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้ทรงพระราชดำริ ในอันที่จะทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพื่อเป็นหลักของพระพุทธศาสนาในพระราชอาณาจักร ยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน และโดยที่เป็นที่ทรงเคารพนับถือ และเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยดังกล่าวแล้ว จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) คงจักทรงเป็นกำลังสำคัญ ในการชำระและฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในครั้งรัชกาลที่ ๑ เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร การบูรณปฏิสังขรณ์พุทธสถาน การชำระตรวจสอบพระไตรปิฎกให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ ตลอดถึงในด้านความประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควรของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่าในระหว่างที่ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น ได้ทรงมีพระราชปุจฉาเกี่ยวกับการพระศาสนาด้านต่างๆ ไปยังสมเด็จพระสังฆราชมากกว่า ๕๐ เรื่อง สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะ ก็ได้ถวายพระพรแก้พระราชปุจฉา เป็นที่ต้องตามพระราชประสงค์ทุกประการ สิ่งแสดงถึงพระราชศรัทธาเคารพนับถือใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงมีต่อ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อทรงตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ได้โปรดเกล้าฯให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ไปปลูกเป็นกุฎีถวาย ณ วัดบางว้าใหญ่ (วัดระฆัง) แต่น่าเสียดายที่ตำหนักทองนี้ถูกไฟไหม้เสียเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓



พระกรณียกิจสำคัญ : การสังคายนาพระไตรปิฎก

          เป็นที่ประจักษ์ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์แล้ว พระราชกรณียกิจประการแรกที่ทรงกระทำก็คือ การจัดสังฆมณฑลและฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ที่เสื่อมทรุดมาแต่การจลาจลวุ่นวายของบ้านเมือง แต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา จนถึงครั้งกรุงธนบุรี ในด้านสังฆมณฑลนั้นก็ทรงกำจัดอลัชชีภิกษุ และทรงตรากฎพระสงฆ์ขึ้น เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุสามเณรประพฤตินอกพระธรรมวินัย และมีความประพฤติกวดขันในพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น

           ในด้านทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง ก็โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระไตรปิฎกบรรดาฉบับที่มีทั้งที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ ตรวจชำระแล้วแปลงเป็นอักษรขอม จารึกลงลานสร้างไว้ให้ครบถ้วน ประดิษฐานไว้ ณ หอพระมนเทียรธรรม พร้อมทั้งโปรดให้สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎก ถวายพระสงฆ์สำหรับเล่าเรียนไว้ทุกๆ พระอารามหลวง สิ้นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปเป็นอันมาก ต่อมาทรงพระราชดำริเห็นว่า พระไตรปิฎกที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อต้นรัชกาลนั้น ยังบกพร่องตกหล่นอยู่เป็นอันมาก ทั้งพยัญชนะและเนื้อความ อันเนื่องมาจากความวิปลาสตกหล่นของต้นฉบับเดิม จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์ประชุมสังคายนาตรวจชำระพระไตรปิฎกขึ้น

           เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เกิดขึ้นในปีที่ ๖ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนับเป็น การสังคายนาครั้งที่ ๒ ในราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๓๓๑) (ครั้งแรกทำที่นครเชียงใหม่สมัยพระเจ้าติโลกราชมหาราชแห่งอาณาจักรล้านนา)และ นับเป็นครั้งแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ (ครั้งที่ ๒ ทำในสมัยรัชกาลที่ ๙ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐) ทั้งนี้ได้มีการอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะให้ดำเนินการ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับ ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ทำการสังคายนาที่ วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์) แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๔ กอง ดังนี้

          สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก
          พระวันรัต เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก
          พระพิมลธรรม เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส
          พระธรรมไตรโลก เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก

  การชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ใช้เวลา๕ เดือน ได้จารึกพระไตรปิฎกลงลานใหญ่ แล้วปิดทองทึบ ทั้งปกหน้าปกหลัง และกรอบ เรียกว่า ฉบับทอง ทำการสมโภช แล้วอัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุก ตั้งไว้ในหอพระมณเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อนึ่ง การทำสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น ได้มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ อย่างละเอียด ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอนำมากล่าวในที่นี้ ตามความที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

          …..ในปีวอก สัมฤทธิศก นั้น พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชรำพึงถึงพระไตรปิฎกธรรม อันเป็นมูลรากแห่งพระปริยัติศาสนา ทรงพระราชศรัทธาพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นอันมาก ให้เป็นค่าจ้างลานจารึกพระไตรปิฎกลงลาน แต่บรรดามีฉบับในที่ใดๆ ที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญก็ให้ชำระแปลงออกเป็นอักษรขอม สร้างขึ้นไว้ในตู้ ณ หอพระมนเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ให้เล่าเรียน ทุกๆ พระอารามหลวงตามความปรารถนา


         จึงจมื่นไวยวรนารถกราบทูลว่า พระไตรปิฎกซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นไว้ทุกวันนี้ อักขระบทพยัญชนะตกวิปลาสอยู่แต่ฉบับเดิมมา หาผู้จะทำนุบำรุงตกแต้มดัดแปลงให้ถูกต้องบริบูรณ์ขึ้นมิได้ ครั้นได้ทรงสดับจึงทรงพระปรารภว่าพระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้ เมื่อและผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่เป็นอันมากฉะนี้ จะเป็นเค้ามูลพระศาสนากระไรได้ อนึ่งท่านผู้รักษาพระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวันนี้ก็น้อยนักถ้าสิ้นท่านเหล่านี้แล้วเห็นว่าพระปริยัติศาสนา และปฏิบัติศาสนาและปฏิเสธศาสนาจะเสื่อมสูญเป็นอันเร็วนักสัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พึ่งบ่มิได้ในอนาคตภายหน้า ควรจะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาไว้ให้ถาวรวัฒนาการเป็นประโยชน์แก่เทพดามนุษย์ทั้งปวงจึงจะเป็นทางพระบรมโพธิญาณบารมี

          ทรงพระราชดำริฉะนี้แล้ว จึงดำรัสให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ มีสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นประธาน ในพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญ ๑๐๐ รูป มารับพระราชทานฉัน ครั้นเสร็จสังฆภัตกิจแล้วพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงถวายนมัสการดำรัสเผดียงถามพระราชาคณะทั้งปวงว่าพระไตรปิฎกธรรมทุกวันนี้ ยังถูกต้องบริบูรณ์อยู่หรือพิรุธผิดเพี้ยนประการใด

          จึงสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงพร้อมกันถวายพระพรว่า พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้พิรุธมาช้านานแล้ว หากษัตริย์พระองค์ใดจะทำนุบำรุงให้เป็นศาสนูปถัมภกมิได้ แต่กำลังอาตมภาพทั้งปวงก็คิดจะใคร่ทำนุบำรุงอยู่ แต่เห็นจะไม่สำเร็จ และกาลเมื่อสมเด็จพระสรรเพชญพระพุทธองค์ผู้ทรงทศอรหาทิคุณอันประเสริฐ เมื่อพระองค์บรรทมเหนือพระปรินิพพานมัญจพุทธอาสน์ เป็นอนุฏฐานะไสยาสน์ ณ ระหว่างนางรังทั้งคู่ ในสาลวโนทยานของพระเจ้ามลราช ใกล้กรุงกุสินารานคร มีพระพุทธฎีกาตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

          .....ดูกรสงฆ์ทั้งปวง พระธรรมวินัยอันใดทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันพระตถาคตเทศนาสั่งสอนท่าน เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้ว พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นจะเป็นครูสั่งสอนท่าน และสรรพสัตว์ทั้งปวงต่างองค์พระตถาคตสืบไป พระองค์ตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้อาศัยพระปริยัติธรรมฉะนี้แล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน.....



สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑

          จำเดิมแต่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้านิพพานถวายพระเพลิงแล้วได้ ๗ วัน พระมหากัสสปเถรเจ้าระลึกถึงคำพระสุภัททภิกษุ ว่ากล่าวติเตียนพระบรมศาสดาเป็นมูลเหตุ จึงดำริการจะทำสังคายนา เลือกสรรพระภิกษุทั้งหลาย ล้วนพระอรหันต์ทรงพระจตุปฏิสัมภิทาญาณ กับพระอานนท์เป็นเสกขบุคคลพระองค์หนึ่ง ซึ่งได้พระอรหัตในราตรีรุ่งขึ้นวันจะสังคายนา พอครบ ๕๐๐ พระองค์ มีพระเจ้าอชาตศัตรูราชเป็นศาสนูปถัมภก ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในพระมณฑปแถบถ้ำสัตตบรรณคูหา ณ เขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร ๗ เดือน จึงสำเร็จการปฐมสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒

           ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาแล้วได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุชาววัชชีคามเป็นอลัชชี สำแดงวัตถุ ๑๐ ประการ กระทำผิดพระวินัยบัญญัติ และพระมหาเถรขีณาสพ ๘ พระองค์ มีพระยศเถรเป็นต้น พระเรวัตตเถรเป็นปริโยสาน ชำระทศวัตถุอธิกรณ์๑๐ ประการ ให้ระงับยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ แล้วเลือกสรรพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๗๐๐ พระองค์ มีพระสัพพกามีเถรเจ้าเป็นประธาน ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในวาลุการามมหาวิหารใกล้กรุงเวสาลี พระเจ้ากาลาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๘ เดือนจึงสำเร็จการทุติยสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๑๘ ปี ครั้งนั้นเหล่าเดียรถีย์เข้าปลอมบวชในพระศาสนา จึงพระโมคคลีบุตรดิศเถรยังพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชให้เรียนรู้ในพุทธสมัย แล้วชำระสึกเดียรถีย์เสีย ๖๐,๐๐๐ ยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ แล้วพระโมคคลีบุตรดิศเถรจึงเลือกพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๑,๐๐๐ พระองค์ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในอโสการามวิหาร ใกล้กรุงปาตลีบุตรมหานคร พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๙ เดือน จึงสำเร็จตติยสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๔

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๓๘ ปีจึงพระมหินเถรเจ้าออกไปลังกาทวีป บวชกุลบุตรให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม คือหยั่งรากพระพุทธศาสนาลงในลังกาแล้ว พระขีณาสพทั้ง ๓๘ พระองค์มีพระมหินทรเถรและพระอริฏฐเถรเป็นประธาน กับพระสงฆ์ซึ่งทรงพระปริยัติธรรม ๑,๑๐๐ รูปทำสังคายนาพระไตรปิฎก ในมณฑปถูปารามวิหารใกล้กรุงอนุราธบุรี พระเจ้าเทวานัมปิยดิศเป็นศาสนูปถัมภก ๑๐ เดือน จึงสำเร็จการจตุตถสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๕

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๔๓๓ ปี ครั้งนั้นพระอรหันต์ทั้งปวงในลังกาทวีปพิจารณาเห็นว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมลง เพราะพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกให้ขึ้นปากเจนใจนั้นเบาบางลงกว่าแต่ก่อนจึงเลือกพระอรหันต์อันทรงปฏิสัมภิทาญาณ และพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงพระปริยัติธรรมมากกว่า ๑,๐๐๐ ประชุมกัน ในมหาวิหารใกล้เมืองอนุราธบุรี พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยเป็นศาสนูปถัมภก ทำมณฑปถวายให้ทำการสังคายนา คือจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน ทั้งพระบาลีและอรรถกถาเป็นสิงหฬภาษา ปี ๑ จึงสำเร็จการปัญจมสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๖

             ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๙๕๖ ปี จึงพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าออกไปแต่ชมพูทวีป แปลพระไตรปิฎกอันเป็นสิงหฬภาษาออกเป็นมคธภาษา แล้วจารึกลงในใบลานใหม่ในโลหปราสาทเมืองอนุราธบุรีพระเจ้ามหานามเป็นศาสนูปถัมภก ปี ๑ จึงสำเร็จ นับเนื่องเข้าในฉัฐมสังคายนา



สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๗

             ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๑,๕๘๗ ปี ครั้งนั้นพระเจ้าปรากรมพาหุราชได้เสวยราชสมบัติในลังกาทวีป ย้ายพระนครจากอนุราธบุรีมาตั้งอยู่เมืองปุรัตถิมหานคร จึงพระกัสสปเถรเจ้า กับพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงธรรมวินัย ประชุมกันชำระพระไตรปิฎกชึ่งเป็นสิงหฬภาษาบ้าง มคธบ้าง ปะปนกันอยู่ ให้แปลงแปลออกเป็นมคธภาษาทั้งสิ้น แล้วจารึกลงลานใหม่ พระเจ้าปรากรมพาหุราชเป็นศาสนูปถัมภก ปี ๑ จึงสำเร็จบริบูรณ์ นับเนื่องเข้าในสัตตมสังคายนา

          เบื้องหน้าแต่นั้นมา จึงพระเจ้าธรรมานุรุธผู้เสวยราชสมบัติ ณ เมืองอริมัตถบุรี คือเมืองภุกาม ออกไปจำลองพระไตรปิฎกในลังกาทวีปเชิญลงสำเภามายังชมพูทวีปนี้ แต่นั้นมาพระปริยัติธรรมจึงแผ่ไพศาลไปในนานาประเทศทั้งปวง บรรดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นับถือพระรัตนตรัยนั้น ได้จำลองต่อๆ กันไป เปลี่ยนแปลงอักษรตามประเทศภาษาของตนๆ ก็ผิดเพี้ยนวิปลาสไปบ้าง ทุกๆ พระคัมภีร์ที่มากบ้าง ที่น้อยบ้าง


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘

             ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๐๒๐ ปี จึงพระธรรมทินเถรเจ้าผู้เป็นมหาเถรอยู่ ณ เมืองนพีสีนคร คือเมืองเชียงใหม่ พิจารณาเห็นว่าพระไตรปิฎกพิรุธมากทั้งบาลีและอรรถกถาฎีกา จึงถวายพระพรแก่พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราช ซึ่งเสวยราชสมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่ว่า จะชำระพระปริยัติธรรมให้บริบูรณ์ พระเจ้าสิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชจึงให้กระทำ พระมณฑปในมหาโพธารามวิหารในพระนคร พระธรรมทินเถรจึงเลือกพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกมากกว่า ๑๐๐ ประชุมพร้อมกับในพระมณฑปนั้น กระทำสังคายนาพระไตรปิฎกตกแต้มให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชเป็นศาสนูปถัมภก ปี ๑ จึงสำเร็จนับเนื่องเข้าในอัฏฐมสังคายนาอีกครั้งหนึ่ง

             เบื้องหน้าแต่นั้นมา พระเถรานุเถรในชมพูทวีปได้เล่าเรียนพระไตรปิฎก และสร้างสืบต่อกันมา และท้าวพระยาเศรษฐีคฤหบดีมีศรัทธาสร้างไว้ในประเทศต่างๆ คือเมืองไทย เมืองลาว เมืองเขมร เมืองพม่า เมืองมอญ เป็นอักษรส่ำสมผิดเพี้ยนกันอยู่เป็นอันมาก หาท้าวพระยาและสมณะผู้ใดที่จะศรัทธา สามารถอาจชำระพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ดุจท่านแต่ก่อนนั้นมิได้


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๙

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๓๐๐ ปีเศษแล้ว บรรดาเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งปวง ก็เกิดการยุทธสงครามแก่กันถึงพินาศฉิบหายด้วยภัยแห่งปัจจามิตร มีผู้ร้ายเผาวัดวาอารามพระไตรปิฎกก็สาบสูญสิ้นไป จนถึงกรุงศรีอยุธยาเก่าก็ถึงแก่กาลพินาศแตกทำลายด้วยภัยพม่าข้าศึก พระไตรปิฎกและพระเจดียสถานทั้งปวง ก็เป็นอันตรายสาบสูญไป สมณะผู้รักษาร่ำเรียนพระไตรปิฎกนั้น ก็พลัดพรากล้มตายเป็นอันมาก หาผู้ใดที่จะเป็นที่พำนักป้องกันข้าศึกศัตรูมิได้ เหตุฉะนี้พระไตรปิฎกจึงมิได้บริบูรณ์ เสื่อมสูญร่วงโรยมาจนเท่ากาลทุกวันนี้

          พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เมื่อได้ทรงสดับพระสงฆ์ราชาคณะถวายพระพรโดยพิสดาร ดังนั้น จึงดำรัสว่า ครั้งนี้ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง จงมีอุตสาหะในฝ่ายพระพุทธจักร ให้พระไตรปิฎกบริบูรณ์ขึ้นให้จงได้ ฝ่ายข้างอาณาจักรที่จะเป็นศาสนูปถัมภกนั้น เป็นพนักงานโยมๆ จะสู้เสียสละชีวิตบูชาพระรัตนตรัย สุดแต่จะให้พระปริยัติบริบูรณ์เป็นมูลที่จะตั้งพระพุทธศาสนาจงได้ พระราชาคณะทั้งปวงรับสาธุ แล้วถวายพระพรว่า อาตมภาพทั้งปวงมีสติปัญญาน้อยนัก ไม่เหมือนท่านแต่ก่อน แต่จะอุตส่าห์ชำระพระปริยัติธรรม สนองพระเดชพระคุณตามสติปัญญา และสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครั้งนี้ ก็นับได้ชื่อว่า นวมสังคายนา คำรบ ๙ ครั้ง จะยังพระปริยัติศาสนาให้ถาวรวัฒนายืนยาวไปในอนาคตสมัย สิ้นกาลช้านาน แล้วถวายพระพรลาออกมาประชุมพร้อมกัน ณ วัดบางว้าใหญ่ จึงสมเด็จพระสังฆราชให้เลือกสรร พระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับ ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกในเวลานั้น จัดได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ที่จะทำการชำระพระไตรปิฎก

         จึงมีพระราชดำรัสให้จัดการที่จะทำสังคายนา ณ วัดนิพพานาราม เหตุประดิษฐานอยู่หว่างพระราชวังทั้ง ๒ และครั้งนั้นจึงพระราชทานนามใหม่ให้ชื่อวัดพระศรีสรรเพ็ชญดาราม แล้วทรงบริจาคพระราชทรัพย์ แจกจ่ายเกณฑ์พระราชวงศานุวงศ์ และข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในทั้งพระราชวังหลวง พระราชวังบวรฯ พระราชวังหลัง ให้ทำสำรับคาวหวานถวายพระสงฆ์ซึ่งชำระพระไตรปิฎก ทั้งเช้าทั้งเพล เวลาละ ๔๓๖ สำหรับทั้งคาวหวาน พระราชทานเป็นเงินตรา ค่าขาทนียโภชนียาหารสำรับคู่ละบาท

         ครั้น ณ วันกัตติกปุรณมี เพ็ญเดือน ๑๒ ในป็วอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๕๐ พระพุทธศักราช ๒๓๓๑ พรรษา เป็นพุธวาร ศุกรปักษ์ดฤถี เวลาบ่าย ๓ โมง มีพระราชกำหนดให้นิมนต์พระสงฆ์ประชุมพร้อมกัน ในพระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพ็ชญดารามแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรฯ ก็เสด็จพระราชดำเนินด้วยมหันตราชอิสริยยศ บริวารยศ พร้อมด้วยเครื่องสูง และปี่กลองชนะแห่ออกจากพระราชวังไปยังพระอาราม เสด็จ ณ พระอุโบสถทรงถวายนมัสการพระรัตนตรัยด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วอาราธนาพระพิมลธรรมให้อ่านคำประกาศเทวดาในท่ามกลางสงฆสมาคม ขออานุภาพเทพยดาเจ้าทั้งปวงให้อุปถัมภนาการให้สำเร็จกิจมหาสังคายนา แล้วให้แบ่งพระสงฆ์เป็น ๔ กอง
      
         สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก กอง ๑
         พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก กอง ๑
         พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส กอง ๑
         และครั้งนั้นพระธรรมไตรโลกเป็นโทษอยู่ มิได้เข้าในสังคายนา พระธรรมไตรโลกจึงมาอ้อนวอนสมเด็จพระสังฆราช ขอเข้าช่วยชำระพระไตรปิฎกด้วย ก็ได้เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก กอง ๑
         และพระสงฆ์ทั้ง ๔ กองนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์แยกกันชำระพระปริยัติอยู่ ณ พระอุโบสถกอง ๑ อยู่ ณ พระวิหารกอง ๑ อยู่ ณ พระมณฑปกอง ๑ อยู่ ณ การเปรียญกอง ๑ ทรงถวายปากไก่หมึกหรดาลครบทุกองค์

        
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จพระราชดำเนินออกไป ณ พระอารามทุกๆ วัน วันละ ๒ เวลา เวลาเช้าทรงประเคนสำรับประณีตขาทนียโภชนียาหารแก่พระสงฆ์ ให้ฉัน ณ พระระเบียงโดยรอบ เวลาเย็นทรงถวายอัฏฐบานธูปเทียนเป็นนิตย์ทุกวัน และพระสงฆ์ทั้งราชบัณฑิตประชุมกันพิจารณาดูพระปริยัติ สอบสวนพระบาลีกับอรรถกถาที่ผิดเพี้ยนวิปลาส ก็ตกแต้มเปลี่ยนแปลงอักขระให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ทุกๆ พระคัมภีร์ใหญ่น้อยทั่วทั้งสิ้น และที่ใดสงสัยเคลือบแคลงก็ปรึกษาไต่ถามพระราชาคณะผู้ใหญ่ซึ่งเป็นมหาเถรให้วิสัชนาตัดสินที่ผิดและชอบ
 

          การชำระพระไตรปิฎกตั้งแต่ ณ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ปีวอก สัมฤทธิศก มาจนถึงวันเพ็ญเดือน ๕ ปีระกา เอกศก จุลศักราช ๑๑๕๑ พอครบ ๕ เดือนก็สำเร็จการสังคายนา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายพระราชทรัพย์ เป็นมูลค่าจ้างให้ช่างจานคฤหัสถ์และพระสงฆ์สามเณร จารึกพระไตรปิฎก ซึ่งชำระบริสุทธิ์แล้วนั้นลงลานใหญ่สำเร็จแล้วให้ปิดทองทึบ ทั้งใบปกหน้าหลังและกรอบทั้งสิ้นเรียกว่าฉบับทอง ห่อด้วยผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหมเบญจพรรณ มีสลากงาแกะเป็นลวดลายเขียนอักษรด้วยน้ำหมึก และฉลากทอเป็นตัวอักษรบอกชื่อพระคัมภีร์ทุกๆ พระคัมภีร์
      
      
         อนึ่ง เมื่อสำเร็จการสังคายนานั้น ทรงถวายไตรจีวรบริขารภัณฑ์แก่พระสงฆ์ทั้ง ๒๑๘ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ล้วนประณีตทุกสิ่งเป็นมหามหกรรมฉลองพระไตรปิฎก และพระราชทานรางวัลเสื้อผ้าแก่พระยาธรรมปโรหิต พระยาพจนาพิมล และราชบัณฑิตทั้ง ๓๒ คนนั้นด้วย แล้วทรงสุวรรณภิงคารหล่อหลั่งทักษิโณทกธารา อุทิศแผ่ผลพระราชกุศลศาสนูปถัมภกกิจ ไปถึงเทพยดามนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตโลกธาตุ เป็นปัตตานุปทานบุญกริยาวัตถุอันยิ่งเพื่อประโยชน์แก่พระบรมโพธิสัพพัญญุตญาณ
 
    
         ครั้นเมื่อเสร็จการสร้างพระไตรปิฎกฉบับทองแล้ว ซึ่งให้เชิญพระคัมภีร์ทั้งปวงขึ้นพระยานุมาศพระราชยานต่างๆ ตั้งกระบวนแห่สมโภชพระไตรปิฎก มีเครื่องเล่นเป็นอเนกนานานุประการ เป็นมหรสพแก่ตาประชาราษฎรทั้งปวง แล้วเชิญพระคัมภีร์ปริยัติธรรมเข้าประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก ตั้งไว้ในหอพระมนเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดารามภายในพระราชวัง แล้วให้มีงานมหรสพสมโภชพระไตรปิฎกณ หอพระมนเทียรธรรม ครั้งนั้นมีละครผู้หญิงด้วย…..


  จากเรื่องราวของการสังคายนาครั้งนี้ กล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการ นับแต่ทรงเป็นประธานสงฆ์ ถวายคำแนะนำแด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ให้ทรงตระหนักถึงความสำคัญ ของการธำรงรักษาพระธรรมวินัย ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นเหตุให้ทรงพระราชวิริยะอุตสาหะ จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น และในการทำสังคายนา สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)ก็ทรงแสดงพระปรีชาสามารถ โดยทรงเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การทำสังคายนาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สมพระราชประสงค์ทุกประการ โดยการอำนวยการของสมเด็จพระสังฆราช(ศรี) โดยแท้ นับเป็นพระเกียรติประวัติอีกประการหนึ่ง ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น

          พระไตรปิฎกฉบับสังคายนาเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นี้เอง ที่ได้เป็นแม่ฉบับสำหรับตรวจสอบในการจัดพิมพ์เป็นอักษรไทยครั้งแรก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๓๙ เล่ม ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่งและเพิ่มเติมจนครบบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๔๕ เล่ม เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ดังที่ใช้เป็นแบบอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน


พระกรณียกิจพิเศษ

          สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ อีก ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ครั้นทรงผนวชแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จไปประทับอยู่วัดสมอราย(คือวัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) เพื่อทรงศึกษาสมณกิจในสำนัก พระปัญญาวิสาลเถร(นาค) ตลอด ๑ พรรษา แล้วจึงทรงลาผนวช


พระอวสานกาล

         สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นเวลา ๑๒ ปี และทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็สิ้นพระชนม์เมื่อเดือน ๕ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๕๖ พุทธศักราช ๒๓๓๗ ในรัชกาลที่ ๑ รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๒ ปี เช่นกัน ทรงมีพระชนมายุเท่าใดไม่ปรากฏชัด ในกฎพระสงฆ์กล่าวถึงพระองค์ว่า 'สมเด็จพระสังฆราชผู้เฒ่า' จึงน่าจะมีพระชนมายุสูงไม่น้อยกว่า ๘๐ พรรษา

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

(031) เส้นทางบุญจากโคราช-หนองคาย สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว 2555



❇️  บันทึกนักภาวนา ภาคพิเศษ 1
❇️  เส้นทางบุญจากโคราช-หนองคาย 
     สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว 
     10-11 มีนาคม 2555

        🍂 ปฐมบทแห่งบันทึกเรื่องราวต่อไปนี้ เกิดจากประสบการณ์จริง แต่ความจริงแท้ทั้งหมด ยังเกินวิสัยของผู้เขียน ดังนั้น โปรดใช้วิจารณญาณ หรือจะอ่านเป็นนิทานธรรม เพื่อความเพลิดเพลินก็พอ (มีความยาวหลายตอน)

🌼 ตอนที่ 1 อัศจรรย์หนองคาย

        🔸 1. จุดประสงค์ของการเดินทาง

        เช้าวันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2555 ผมพร้อมกับ ผอ.ชยุต (หนุ่ม) ซึ่งเป็น ผอ.ป่าไม้ที่ชัยภูมิ และคุณณี (ภรรยาคุณหนุ่ม) ได้ออกเดินทางด้วยรถยนต์ จากโคราช เวลา 8.30 น. การเดินทางในครั้งนี้ มีเป้าหมายไปแค่หนองคาย ตามคำเชิญของหลวงตาเณรเท่านั้น พวกเราไม่เคยรู้จักหลวงตาเณรมาก่อน แต่ท่านก็ได้เชิญให้พวกเราไปที่สำนักสงฆ์ของท่าน โดยประสานงานผ่านทางสิบเอกอารี เพื่อการบางอย่าง ซึ่งผมเองก็ยังงงๆ อยู่ว่า เอ..เราไปด้วยเหตุอันใดหนอ แต่จิตของผมก็รู้สึกเบิกบานดี


       🔸 2. พบญาติธรรม ณ หนองคาย

       🔹พบกับกินรี🔹

        ในระหว่างทาง ได้แวะเยี่ยมผู้กองศุภชัย ตำรวจทางหลวงอุดรธานี พอสมควรแก่เวลาแล้ว พวกเราได้ออกเดินทางสู่จังหวัดหนองคายทันที วันนี้ตั้งแต่เช้าอากาศเย็นสบาย เพราะไม่ค่อยมีแดด พอเริ่มเข้าสู่เขตหนองคายปรากฏว่า มีฝน (หน้าแล้ง) ตกตลอดเส้นทาง  อย่างไรก็ตาม การไปหนองคายครั้งนี้ ผมกับคุณหนุ่มยังไม่รู้เลยว่า สำนักสงฆ์ที่เราจะไปนั้น ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน หลวงปู่ท่านชื่ออะไร ก็คงต้องใช้วิธีไปหาทางเอาข้างหน้า ผมทราบจากคุณหนุ่มว่า คุณอารี (สิบเอกอารี) ลูกศิษย์หลวงปู่โทรมาบอกว่า หลวงปู่จะส่งกินรีมาต้อนรับด็อกเตอร์ พวกเราก็ยังงงๆว่า กินรีมีตัวเป็นแบบใด เมื่อใกล้ถึงหนองคาย พวกเราก็ได้รับสายจากสตรีท่านหนึ่ง โทรมาบอกเส้นทางไปวัด และจะออกมารับที่ปากทาง  เมื่อพบกันแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า เธอคือกินรี รู้แต่ว่าเธอชื่อคุณนก ที่ขับรถเบนซ์ออกมารับพวกเรา (มาทราบทีหลังก่อนจากกันว่า เธอคือกินรีนั่นเอง) เมื่อได้สนทนากันแล้ว เธอเกิดอาการปีติตลอดเวลา เสมือนเป็นญาติมิตรกันมาก่อน

       🔹พบหลวงตา (เณร)🔹

         เมื่อสนทนากันพอควรแล้ว จึงมุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่สำนักสงฆ์ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ 10 กิโลเมตร ผมสังเกตเส้นทาง เมื่อเราเลี้ยวออกจากถนนหลักเข้าสู่สำนักสงฆ์ เป็นถนนลูกรังวิ่งผ่านหมู่บ้านสองสามหมู่บ้าน ทางคดเคี้ยวไปมา และเริ่มมีสภาพเป็นป่าดูวังเวงมากขึ้น ไม่นานก็ไปถึงสำนักสงฆ์ราวบ่ายสองโมง พร้อมกับมีฝนตกลงมาหนักพอสมควร หลวงตาได้ออกมาจากกลดภาวนาที่อยู่ในศาลา พวกเราจึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน คำแรกๆ ที่ผมได้ยินก็คือ... 
        
         "ด็อกเตอร์เอ้ย มาซอยกันส่างบารมีเด้อ ขอบารมีด็อกเตอร์มาซอยกันเด้อ"... "มื้อคืนปู่เพินก็มาบอกว่า ผู้มีบุญจากโคราชซิมาหาเด้อ" (ด็อกเตอร์มาช่วยกันสร้างบารมี ขอบารมีของด็อกเตอร์มาช่วยกันนะ... เมื่อคืนปู่ท่านก็มาบอกว่า ผู้มีบุญจากโคราชจะมาหาเด้อ)... 

          ผมนิ่งไปสักพัก เพราะยังงงๆ ท่านจึงเอ่ยขึ้นมาว่า... "บ่แม้นเรื่องเงินเรื่องปัจจัยดอก ขอแค่ด็อกเตอร์ส่งจิตส่งบารมีมาก็พอแล้ว"... ผมยังสงสัยตัวเองอยู่ว่า แล้วผมจะมีบารมีอันใดหนอ ที่จะมาช่วยท่านได้  แต่ผมก็รับปากท่านไปเสียแล้ว

         หลังจากสนทนากันกับท่าน ประมาณหนึ่งชั่วโมง ฝนเริ่มซาลง พวกเราจึงขอตัวเพื่อจะเข้าไปกราบหลวงพ่อพระใส ที่วัดโพธิ์ชัย และจะเลยไปเที่ยวตลาดอินโดจีน แล้วจึงจะย้อนกลับมาพักที่วัด เพื่อสนทนาธรรมกับท่านอีกครั้ง
 

          🔸 3. ภาวนาและอธิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย

          พวกเราเดินทางไปถึงวัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของหนองคายคือ หลวงพ่อพระใส ในราวบ่ายสามโมง ผมได้เข้าไปกราบหลวงพ่อพระใสบนพระวิหาร พร้อมกับนั่งภาวนาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง การภาวนาเบื้องหน้าหลวงพ่อพระใส แม้จะมีผู้คนมากมาย แต่แปลกผมกลับมีความสงบสมาธิดิ่งเร็วดี จิตก็สว่างไสว แลใสเจิดจ้าดุจประกายเพ็ชร  อยู่พักหนึ่ง จึงถอนขึ้นมา

          หลังจากออกจากสมาธิแล้ว ผมได้เข้าไปอธิษฐานเสี่ยงทายพระพุทธรูปที่วางอยู่ด้านข้าง โดยกำหนดจิตอธิษฐานว่า ... "หากข้าพระพุทธเจ้าจัก(...) ในภพในชาตินี้ ขอจงให้พระพุทธรูปมีน้ำหนักมากด้วยเถิด..." เมื่อผมยกพระพุทธรูปขึ้น ปรากฏว่ามีน้ำหนักมาก สามารถยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อย เมื่อจะยกครั้งที่สองในคำอธิษฐานเดิม... "หากข้าพระพุทธเจ้าจัก(...) ในภพในชาตินี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ายกพระพุทธรูปขึ้นเบาดั่งปุยนุ่นด้วยเถิด..."  ผมตั้งสติให้จิตตั้งมั่นแล้วยกขึ้นจังหวะเดียว ปรากฏว่า พระพุทธรูปลอยละลิ่วเบาหวิวขึ้นเลยเหนือศรีษะ ขึ้นไปจนสุดแขนอย่างน่าอัศจรรย์ ท่ามกลางสายตาของคุณหนุ่มและคุณณี หลังจากนั้น ผมก็ลองให้คุณหนุ่มและคุณณีอธิษฐานจิตดู ปรากฏว่า พระพุทธรูปมีน้ำหนักมากจนยกไม่ขึ้น และมีน้ำหนักเบาหวิวต่างกันอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นอันว่า คำอธิษฐานเสี่ยงทายของพวกเราในครั้งนี้ สมหวังกันทุกคน (ปล.พระพุทธเจ้ามิได้สอนให้พวกเราลุ่มหลงกับสิ่งเหล่านี้)


กราบหลวงพ่อพระใส


          🔸 4. สนทนาธรรมกับหลวงตาเณร

          พวกเราเดินทางกลับสำนักสงฆ์ ในราวทุ่มกว่าๆ ปรากฏว่า หลงทางเข้าป่าลึก ยิ่งไปยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ ดูวิเวกเปลี่ยวเปล่าน่าดู ฝนก็ตกพรำๆ บรรยากาศก็ชวนขนลุก คุณหนุ่มโทรให้คนออกมารับ จึงสามารถกลับเข้าสู่สำนักสงฆ์ได้ ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม หลวงตาเณรและญาติธรรมนับสิบ กำลังรอพวกเรา เพื่อสวดมนต์ทำวัตรเย็น หลังจากทำวัตรเสร็จแล้ว ท่านให้หญิงสาวคนหนึ่ง ที่ท่านเคยช่วยเหลือเธอไว้ จากการถูกเล่นงานด้วยคุณไสย ประทับทรงปู่ตา ซึ่งเป็นเทพทางลาวแถบภูเขาควาย เพื่อสอบถามบางอย่าง ผมนั่งดูอยู่ห่างๆ  ได้เรียนรู้และพิจารณาธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า เห็นความทุกข์ของผู้คนที่เข้ามาหาหลวงตา เพื่อให้ท่านช่วย มีสารพัดความทุกข์ มีการเสี่ยงทาย โดยการยกขาปู่เจ้าผ่านขาของร่างทรง คล้ายกันกับการยกพระพุทธรูป คุณหนุ่มกับคุณณีได้ทดลองเสี่ยงทาย ปรากฏว่า หากสำเร็จให้ยกขาไม่ขึ้น  ก็ปรากฏหนักอึ้งไม่สามารถขยับเขยื้อน ทั้งที่ร่างทรงก็นั่งสบายๆ และหากสำเร็จให้สามารถยกขาขึ้นแบบสบาย ก็ปรากฏว่าเบาหวิวขึ้นมาเฉย เอ้อหนอ...แบบนี้ก็มีด้วย ก็เคยเห็นแต่การเสี่ยงทายพระพุทธรูป (เป็นความเชื่อนอกวิถีของพระพุทธศาสนา โปรดพิจารณา)

          เมื่อญาติธรรมลากลับเกือบหมดแล้ว ผมจึงได้สนทนาธรรมกับหลวงตาเณร ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยเป็นทหาร แล้วลาออกมาบวชเป็นพระในฝ่ายธรรมยุต เมื่อหลายปีมาแล้ว  และออกธุดงค์ไปตามป่าดงแถบภาคอีสาน เคยไปสร้างวัดแห่งหนึ่งที่อุบลฯ จากไม่มีอะไรเลย แต่สำเร็จได้ภายในไม่นาน และเมื่อมีความเจริญแล้ว ท่านจึงได้หนีออกจากวัดนั้น และออกธุดงค์เรื่อยมา จนมาพบบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนี้ ขณะที่ท่านบำเพ็ญโดยถือสัจจะเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้น ปรากฏนิมิตมากมาย ทั้งการพบกับหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรในร่างบุรุษชุดขาว มีพญานาคเป็นพาหนะ หลวงปู่ศรีเอกวงศ์ (ท่านบอกว่าเกี่ยวพันกันกับหลวงปู่โต เป็นภพหนึ่ง) ซึ่งเคยบำเพ็ญอยู่ในภูมิแห่งนี้ หลวงปู่มั่นและหลวงปู่ต่างๆ ก็เคยมาหา พญานาคที่มาในญาณของปู่ขาวและปู่ดำ และที่สำคัญบริเวณที่อยู่ใกล้ๆสำนักสงฆ์แห่งนี้ เป็นภูมิของพระอรหันต์สมัยพุทธกาล เป็นภูมิของคนสูงแปดศอก ท่านนิมิตเห็นบาตรพระขนาดใหญ่จำนวน 20 อัน อยู่ใต้พื้นดินแห่งนี้ และอีกหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ และวิญญาณทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อที่สนทนากันในค่ำคืนนี้

         ในตอนหนึ่ง หลวงตาเล่าถึงว่า ทำไมท่านถึงต้องสึกจากความเป็นพระ ลงมาเหลือแค่การบวชเป็นเณร ทั้งที่ตัวท่านเองก็บำเพ็ญเพียรมาตามแบบอย่างพระกรรมฐาน แต่เมื่อได้มาพบกับหลวงปู่ใหญ่แล้ว ภาระหน้าที่บางอย่างจึงเปลี่ยนไป หน้าที่ปราบมารบังเกิดขึ้น การช่วยเหลือสงเคราะห์คนทุกข์สาหัส จากไสยศาสตร์มนต์ดำก็บังเกิดขึ้น การสร้างพระพุทธรูป การสร้างวัดก็บังเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน โอ้หนอ...การสร้างบารมี ทำไมมันถึงยากเพียงนี้น้อ... เส้นทางพระอรหันต์ก็เห็นห่างกันเพียงเส้นผม แต่ก็ต้องมาบำเพ็ญอีกเส้นทางหนึ่ง ไฉนเส้นทางหรือจริตในการบำเพ็ญจึงแตกต่างกัน... ท่านทั้งหลาย ผมเข้าใจแล้วว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ผมจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพิจารณาผู้อื่น ผู้อื่นก็คือผู้อื่น การบำเพ็ญของคนอื่น ก็เป็นของคนอื่น หน้าที่ของใครก็ของมัน อย่าได้เอามาปะปนกับของเรา ตัวเรายังมิใช่ของเรา ผมจึงได้แต่อนุโมทนาในบุญกุศลที่ท่านสร้างมา

          หลวงตาเณรบอกว่า... "ภูมิที่นี่ดี ด็อกเตอร์มาภาวนาเอาเด้อ มาสร้างบารมีช่วยกันเด้อ"... เมื่อได้เวลาพักผ่อน พวกเราจึงได้อาศัยศาลาเป็นที่นั่งภาวนาและนอน ซึ่งกลดของหลวงตาก็อยู่ในศาลาแห่งนี้ เมื่อหลวงตาได้เข้ากลดภาวนาแล้ว ผมกับคุณหนุ่มก็อาศัยที่นอนนั้น เป็นที่นั่งภาวนาท่ามกลางเสียงฝนตกพรำๆ

         ในช่วงเช้าต่อมา หลวงตาเณรบอกคุณอารีว่า เมื่อคืนได้ยินผู้ไม่มีตัวตนเข้ามาหาผม แต่ผมไม่รู้หรอก รู้แต่เพียงว่า บางช่วงก็รู้สึกดี และบางช่วงขณะนั่งภาวนา ก็มีวัตถุหล่นใส่หลังคาตรงศรีษะผมหลายครั้ง ไม่ได้ตกใจอะไร ก็ได้แต่พิจารณาเป็นธรรมะเท่านั้น


          🔸 5. ไสยศาสตร์มนต์ดำ

          ในการสนทนากับหลวงตาเณร และลูกศิษย์ของท่าน ในค่ำคืนวันที่ 10 มีนาคม 2555 นั้น มีช่วงหนึ่ง ที่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ ที่หลวงตาเณรและลูกศิษย์ได้เผชิญมา หลวงตาและลูกศิษย์ช่วยกันเล่าให้ฟังว่า เมื่อคราวที่ท่านและลูกศิษย์ไปบำเพ็ญภาวนาที่ภูลังกา ได้เผชิญกับพวกเล่นของหรือหมอธรรมฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ พวกมารได้ปล่อยของออกมาเล่นงานท่านหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านทราบว่า พวกมารจะรวมหัวกันส่งของมาเล่นงานชุดหนัก ท่านและลูกศิษย์ จึงได้ไปปักหลักที่ภูลังกา ตั้งปะรำขอบเขต โดยปักด้ายสายสิณจน์ล้อมรอบ ให้เณรน้อยสององค์นั่งข้าง ให้สิบเอกอารีและลูกศิษย์อีกคนยืนถือหอกอยู่ใกล้ๆ ส่วนลูกศิษย์มีทั้งหญิงและชายที่เหลือ ให้อยู่ในวงสายสิญจน์ เมื่อถึงเวลา ปรากฏมีลมพัดกระหน่ำเหมือนในหนัง เต๊นท์ปลิวกระจายไปไกลเกือบกิโลเมตร คณะของหลวงตาเณรยังตั้งมั่นอยู่ในวงสายสิญจน์ สักครู่ปรากฏมีตะปูและวัตถุพุ่งใส่สิบเอกอารี และลูกศิษย์ที่ยืนถือหอกอยู่ จึงต้องหลบกันพัลวัน เณรน้อยที่อยู่ด้านข้างโดนไปหลายดอก หลวงตากดหัวเณรน้อยให้หมอบลง มีวัตถุวิ่งแหวกอากาศมากระทบกับต้นไม้ กับเสา กับคน กับหลวงตา กับเณร กับลูกศิษย์ หลายชุด มีทั้งตะปูขนาดใหญ่ กระดูก เส้นผม ก้อนอิฐ ก้อนหิน ฯลฯ ต่างบาดเจ็บไปตามๆกัน 

         เมื่อเล่าถึงตอนนี้ ลูกศิษย์ของท่านต่างพูดกับผมว่า ทำไมพวกเขาไม่เจอลูกแก้ว พระธาตุ และพระพุทธรูปเสด็จมาเหมือนด็อกเตอร์หนอ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ พูดไปก็หัวเราะกันไป หลวงตาเล่าต่อไปว่า บางครั้ง ท่านได้ยินเสียงสวดเป็นภาษาเขมร และเห็นอักษรธรรมวิ่งเข้ามาเป็นระยะๆ ท่านจึงโต้ตอบกลับไปด้วยบทสวดธรรมจักรฯ สู้กันไป บางครั้งท่านเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ทัน เพราะฝ่ายตรงข้ามมีกันหลายคน ท่านจึงขอให้โยมช่วยกันสวดต่อ ท่านขอหยุดพักหายใจก่อน แต่สุดท้าย ด้วยอำนาจธรรมของท่าน จึงทำให้พวกมารพ่ายแพ้กลับไป

        ทุกวันนี้ ท่านจึงกลายเป็นผู้ทำหน้าที่ปราบมาร ควบคู่ไปกับการสร้างพระ สร้างวัด และคอยช่วยเหลือผู้คนที่โดนเล่นงานด้วยไสยศาสตร์มนต์ดำ รวมทั้งโดนผีสิง โดนวิญญาณร้ายและอาถรรพ์ต่างๆ และที่แปลกและพึ่งได้ยินก็คือ มีชายคนหนึ่ง "โดนของ" ของพวกอิสลาม อาการหนักมาก ซึ่งกำลังนอนรักษาอยู่บนศาลานี้ด้วย ตอนเช้า ผมก็เห็นผู้หญิงโดนวิญญาณร้ายมาให้ท่านช่วยรักษา ผมเห็นการบำเพ็ญของท่านแล้ว แม้มันจะไม่ใช่ทางสายตรง แต่ก็ได้แต่อนุโมทนาและเหนื่อยแทนท่าน 

         เฮ้อ...  ทำไมมันมีแต่ความทุกข์กันมากมายนักหนา มนุษย์เอ๋ย เทวดาเอ้ย วิญญาณเอย ทำไมถึงวุ่นวายกันนักหนาหนอ แทนที่พระคุณเจ้า ท่านจะได้มีเวลาไปบำเพ็ญภาวนาเพื่อความหลุดพ้น กลับต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เพราะความเมตตาของพระคุณเจ้าแท้ๆ หลวงตาท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า ..."เพราะคนบุญ คนภาวนา คนปฏิบัติธรรมมันน้อยลง พวกมารมันจึงมีพละกำลังกันมากขึ้น ขอให้ด็อกเตอร์มาภาวนามาช่วยกันเด้อ"...  

        เฮ้อ...ผมก็พูดไม่ออกกับสิ่งเหล่านี้ คงจะมีแต่ความเมตตาเท่านั้น ที่จะคอยคุ้มครองตัวผมและผู้อยู่ใกล้ชิด คงไม่มีสิ่งใดเป็นเกาะป้องกันได้ดี เท่ากับคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว ขอให้พวกเรา จงช่วยกันเร่งสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นภายในตัวเองเถิด แล้วจักปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายได้เอง 

         ท่านทั้งหลาย นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่ผมรับฟังมา แล้วอยากจะถ่ายทอดให้ทุกท่านได้พิจารณา ผมเองเคยลุ่มหลงอยู่กับการร่วงหล่นของลูกแก้ว เพ็ชรนาคา เหล็กไหล พระธาตุ และพระพุทธรูปทั้งทองคำ สัมฤทธิ์ และเนื้อดิน หล่นมาทางอากาศมากมาย จนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เพราะผมหลงอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มานานเป็นเวลาร่วม 6 ปี (เป็นความหลงที่ได้ละวางแล้ว) ซึ่งมันต่างกันลิบลับ กับเรื่องของหลวงตาเณร แต่ความอัศจรรย์นั้น มันคือเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกันตรงฝ่ายธรรมและฝ่ายมารเท่านั้น เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตัง และนานาจิตตัง จงใช้วิจารณญาณกันเอาเองเถิด


         🔸 6. สร้างพระพุทธรูป
           หลวงพ่อขาวและหลวงพ่อดำนาคปรก

         ตื่นเช้าขึ้นมา ในวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2555 ผมจึงได้มีโอกาสออกสำรวจพื้นที่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิตอีกครั้ง ภายในสำนักสงฆ์ มีสิ่งที่แสดงถึงบุญบารมีของหลวงตาเณรก็คือ ศาลาหลังปัจจุบัน ที่ใช้เวลาในการสร้างประมาณ 15 วัน ด้วยความร่วมแรงและงบประมาณของชาวบ้าน สร้างเสร็จเร็วเสมือนเป็นการเนรมิต และเป็นสำนักสงฆ์ใหม่แบบสดซิงๆ  นอกจากนั้น หลวงตาเณรบอกว่า พระเบื้องบน(ผู้เขียนไม่ทราบว่าเป็นใคร) ยังกำหนดให้หลวงตาเณร สร้างพระพุทธรูปนาคปรก จำนวน 9 องค์ 9 แห่ง เพื่อการสร้างบารมีและสืบต่อพระพุทธศาสนา ผมเองได้มีส่วนร่วมในการสร้างพระพุทธรูป (หลวงพ่อขาว) องค์ที่ 6 ที่กำลังปั้นอยู่ในบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนี้



          🔸 7. ข้ามฝั่งสู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว  

          หลังจากเดินดูบริเวณภายในวัดแล้ว ผมได้รับแจ้งจากคุณนกว่า วันนี้พวกเราต้องเดินทางด่วนข้ามไปที่ประเทศลาว เพื่อไปดูสถานที่สร้างพระพุทธรูปองค์ที่ 9 แบบเร่งด่วน ความจริงแล้ว ผมทราบจากหลวงตาเณร ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางมาถึงแล้วว่า พระเบื้องบนปรารถนาให้ท่านและผม เดินทางด่วนข้ามไปที่ประเทศลาว และลัดคิวสร้างองค์ที่ 9 ก่อนองค์ที่ 7 และ 8 ที่ยังไม่ได้สร้าง หลวงตาบอกผมประมาณว่า เสมือนพระเบื้องบนจะเร่งให้ท่านสร้างบารมี และหลวงตาเณรยังได้พูดต่อกับผมว่า... "ด็อกเตอร์ไปนำกันเด้อ ขอบารมีด็อกเตอร์ ไปช่วยกันเด้อ"...

          อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนกลางคืน พวกเราได้ทราบว่า คุณฝนซึ่งเป็นภรรยาของคุณวิสุทธิ์ ซึ่งทั้งคู่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศลาวมานานร่วม 20 ปี ได้แจ้งว่าจะขอเลื่อนเป็นวันที่ 12 มีนาคม พวกเราก็นิ่งและคิดกันว่า คงไม่ได้ไปประเทศลาวแล้ว เพราะผมจะต้องเดินทางกลับวันที่ 11 มีนาคม แต่พอตอนเช้าวันที่ 11 ขณะที่ผมกำลังเดินสำรวจบริเวณวัดอยู่นั้น คุณนกได้รับโทรศัพท์จากคุณวิสุทธิ์ว่า ให้พวกเราเตรียมตัวโดยด่วน เพราะจะข้ามไป "ภูเขาควาย" ประเทศลาวในวันนี้ หลวงตาบอกว่า สงสัยพระเบื้องบนต้องการให้ไปจริงๆ แต่มีมารเข้ามาขัดขวางตั้งแต่เมื่อคืน และในตอนเช้า หลวงตาก็เกิดอาการท้องเสียแบบฉับพลัน แต่หลวงตาไม่ถอย บอกให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางได้ 

          เวลาประมาณ 9.00 น. เมื่อคณะพวกเราข้ามสะพานไปถึงฝั่งประเทศลาวแล้ว พวกเราได้รอพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของลาวนานพอสมควร หลังจากนั้น จึงรีบออกเดินทางสู่เมืองหลวงกำแพงเวียงจันทน์ทันที ด้วยรถยนต์โฟวีลของคุณวิสุทธิ์ คณะของพวกเรามีทั้งหมด 8 คน เมื่อถึงกำแพงเวียงจันทน์แล้ว พวกเราได้แวะเพื่อให้คุณฝนไปเอารถยนต์ของพี่สะใภ้อีกคัน แล้วให้ขับตามไป เพื่อจะได้สะดวกในการเดินทาง 

          อย่างไรก็ตาม การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าบ้าง หลวงตาเณรบอกผมว่า... "ด็อกเตอร์ช่วยภาวนาให้ผ่านตลอดเด้อ"... เมื่อคณะของพวกเราไปถึงสะพานข้ามแม่น้ำงึม ตรงด่านเก็บเงินผ่านทาง พวกเราได้แวะจอดข้างแพริมแม่น้ำงึม เพื่อรอรถที่คุณฝนขับตามมา นานเกือบชั่วโมง โทรศัพท์ก็ไม่สามารถติดต่อได้ คณะพวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร หลวงตาเณรท่านจึงได้จุดธูปบอกกล่าวองค์ปู่พรหมจักร ผู้ดูแลดินแดนฝั่งประเทศลาว พร้อมกันนั้น คุณนกเธอได้เดินมาบอกผมว่า... "ด็อกเตอร์ช่วยอธิษฐานจิต ขอบารมีให้พวกเราไปสะดวกด้วยนะค่ะ"... เมื่อไม่สามารถติดต่อได้ พวกเราลงความเห็นว่า ต้องเสี่ยงเดินทางไปก่อนคุณฝน เมื่อรถมาถึงด่านเก็บเงิน ปรากฏว่า รถยนต์ของคุณฝนวิ่งมาต่อท้ายอย่างพอดิบพอดี ชั่งบังเอิญอะไรขนาดนี้ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่สนทนากันเกือบตลอดเส้นทาง และการเดินทางเพื่อแสวงบุญของพวกเราในครั้งนี้ ก็เป็นไปด้วยความสะดวกและราบรื่นทุกประการ




         🔸 8. วัดพระบาทด่านเพย ดินแดนพุทธภูมิ

          คณะของพวกเรา เดินทางผ่านเส้นทางภูเขาควายอันเลื่องชื่อ ถ้าหากใครได้อ่านประวัติของพระอรหันต์ ตั้งแต่หลวงปู่มั่น พระอาจารย์เสาร์และสานุศิษย์ มักจะพบว่า เป็นดินแดนที่พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่องจาริกธุดงค์ผ่านเส้นทางอาถรรพ์นี้ทั้งนั้น ผมเองเคยปรารถนาอยากจะเดินทางตามรอยเส้นทางของครูอาจารย์มานานแล้ว วันนี้ ก็ได้แต่นึกปลื้มปีติอยู่ในใจ ที่ได้เดินทางมาราวกับปาฏิหาริย์ เพราะไม่เคยนึก ไม่เคยอยู่ในโปรแกรมอะไรทั้งสิ้น 

           พวกเราขับรถแล่นผ่านบริเวณถ้ำแห่งหนึ่ง ที่หลวงตาเณรบอกว่า เป็นถ้ำที่หลวงปู่ใหญ่พำนักอยู่ และผมก็เคยอ่านเรื่องราวลูกศิษย์สายหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรว่า หลายๆท่านได้มาเรียนวิชากับคณะของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ณ ถ้ำแห่งนี้ ว่ากันว่า เส้นทางที่จะเข้าถ้ำแห่งนี้ได้ก็คือ 1. ดำน้ำรอดถ้ำเข้าไปไกลมาก 2. เข้าทางด้านบนถ้ำน่าจะลำบากมากที่สุด 3. เข้าไปด้วยอภินิหาริย์  ซึ่งหลวงตาเณรบอกกับผมว่า ท่านก็อยากจะเข้าไปในถ้ำนี้ แต่คงจะสร้างพระองค์ที่ 9 ที่ภูเขาควายให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะสามารถเข้าไปได้ พวกเรามีกำหนดการ จะเดินทางไปที่ลาวอีกครั้ง ในวันที่ 30, 31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 นี้

         ต่อมา คณะของพวกเรา เดินทางมาถึงวัดสันติธรรม พระบาทด่านเพย  แขวงเวียงจันทน์ ที่อยู่ห่างจากกำแพงเวียงจันทน์ประมาณ 80 กิโลเมตร วัดแห่งนี้ตั้งอยู่เชิงภูเขาควายด้านทิศเหนือ เมื่อคณะพวกเรามาถึง ก็ได้พบกับแม่ชีรูปหนึ่ง ที่เป็นผู้ดูแลวัดทั้งหมด วัดนี้ไม่มีพระสงฆ์อยู่เลย เนื่องจากสู้ภูมิที่นี่ไม่ได้ หากไม่ใช่พระนักปฏิบัติ แม่ชีท่านออกมารับหลวงตาและคณะของพวกเรา ท่านได้เชิญไปที่ศาลาหลังใน ก็ได้พบกับครูบาลาวองค์หนึ่งที่มารออยู่แล้ว ครูบาองค์นี้ ท่านเคยมาที่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิตเมื่อไม่นาน วันนี้ปรากฏว่า ท่านเกิดอาการกระวนกระวายร้อนรน พอทราบว่า หลวงตาจะมาที่ลาว ท่านจึงได้มารอพร้อมกับบอกว่า พญานาคตามท่านมาจากหนองคายมาอยู่ด้วย ผมสังเกตดูท่าน เห็นมีอาการแปลก ดวงตาแดงกล่ำคล้ายตาพญานาค 

        หลังจากนั้น ผมได้เดินไปที่วิหารหลังหนึ่ง ซึ่งภายในมีรอยพระพุทธบาทโบราณตั้งแต่เมื่อครั้งพุทธกาล สวยงามมาก นอกจากนั้น ภายในพระวิหารยังมีพระพุทธรูปเสี่ยงทายอยู่องค์หนึ่ง ผมก็เลยถือโอกาสเสี่ยงทายเรื่องเดียวกันกับเมื่อครั้งอยู่วัดหลวงพ่อพระใสเมื่อวันก่อน ปรากฏว่า ผลของการเสี่ยงทายตรงกัน เมื่ออธิษฐานจิตว่า หากจัก(....) ในภพในชาตินี้ ขอให้พระมีน้ำหนักมาก ก็ปรากฏพระหนักมาก เมื่ออธิษฐานว่า หากจักสำเร็จขอให้พระมีน้ำหนักเบา ปรากฏว่า พระมีน้ำหนักเบาหวิวลอยละลิ่วขึ้นเหนือศรีษะจนสุดแขน ก็ดูอัศจรรย์ดี



พระพุทธรูปเสี่ยงทาย


          ต่อมา คณะของพวกเรา ได้เดินไปดูบริเวณที่กำลังก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ที่อยู่บนเนินเขาตรงข้ามวิหาร ต้องเดินข้ามสะพานไป และเดินสำรวจดูบริเวณที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ที่ 9 เพื่อให้เสร็จพิธีฉลองในวันที่ 31 มีนาคม 2555 ที่กำลังจะมาถึง แบบเร่งด่วนมากๆ หลวงตาเณรและแม่ชี พาคณะสำรวจพื้นที่ แม่ชีรูปนี้ว่ากันว่า ท่านมีดีพอสมควรจึงอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ เพราะภูมิที่นี่ น่าจะเป็นภูมิของพระพุทธเจ้า เพราะมีรอยพระพุทธบาท และกำลังสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ





            ต่อมา ผมได้รับทราบจากชาวลาว ที่มาช่วยแม่ชีที่วัดแห่งนี้ว่า ใกล้ๆกับบริเวณที่สร้างเจดีย์นี้ ประมาณ 500 เมตร ยังมีรอยพระพุทธบาทอีกสี่รอย ผมจึงถือโอกาสไปดูทันที รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ หากดูผิวเผินจะไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่จากคำบอกเล่าของโยมบอกว่า แม่ชีท่านนิมิตเห็นจึงได้มาพบ แต่ผู้คนทั่วไปยังไม่ทราบ ผมจึงบอกทุกคนว่า หากอยากได้บุญมาก วันที่ 30 มีนาคมที่จะถึงนี้ ให้มาช่วยกันเอาดินออก และทำความสะอาด คงจะเห็นชัดเจนขึ้น







          🔸 9. สงเคราะห์สตรีลาวผู้เป็นโรคมาร

          เมื่อดูรอยพระพุทธบาทเสร็จแล้ว พวกเราย้อนกลับมาที่วัด เพื่อรับประทานอาหารที่พี่น้องชาวลาวได้เตรียมไว้ให้ หลังจากรับประทานเสร็จแล้ว มีสตรีท่านหนึ่ง เป็นโรคท้องมาร มีน้ำบวมทั้งตัว ไปหาหมอ หมอไม่สามารถรักษาได้ ต้องกลับมารอวันตายที่บ้าน เธอทรมานมาก แต่เธอก็มาต้อนรับคณะของพวกเรา ต่อมามีโยมสตรีท่านหนึ่ง เดินมาที่ผมแล้วบอกว่า... "อาจารย์ซอยเพิ่นแน บ่ฮู้เป็นอีหยัง ซอยเพิ่นแนเด้อ"... (อาจารย์ช่วยเธอด้วย ไม่รู้เป็นอะไร ช่วยเธอด้วย) ตอนแรกผมพิจารณาแล้ว คงเป็นโรคกรรมแน่ๆ แล้วผมจะช่วยเธออย่างไรหนอ ผมไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรนี้เลย เธอนั่งมองผมด้วยอาการที่เศร้า และรอความหวังอะไรสักอย่าง ผมพิจารณาเห็นความทุกข์ของเธอ ชั่งมากมายเหลือเกิน ในจิตตอนแรกบอกว่าจะไม่ยุ่ง แต่ไม่นานจิตของผม กลับบังเกิดความเมตตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมจึงเดินไปที่เธอ แล้วบอกเธอว่า ผมจะช่วยสงเคราะห์เธอนะ ยื่นมือทั้งสองมาซิ แล้วผมได้ยื่นมือทั้งสองของผมวางอยู่เหนือฝ่ามือของเธอ พร้อมกับอธิษฐานจิตตามวิธีของผม ขอเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรของเธอว่า... "สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ล้วนทำให้เกิดความทุกข์ทั้งสองฝ่าย ความอาฆาตแค้นนั้น มันทำให้ทุกข์แสนสาหัส กรรมที่เธอได้กระทำลงไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ก็สมควรได้รับกรรมอยู่ แต่บัดนี้ เธอก็กำลังได้รับกรรมแล้ว ขอท่านจงโปรดอโหสิกรรมเถิด ให้น้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง พร้อมกับกล่าวอโหสิกรรมเถิด แล้วท่านจักพ้นทุกข์ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น"... ผมได้แผ่เมตตา พร้อมกับอัญเชิญพลานุภาพทั้งหลาย ด้วยหัวจิตหัวใจที่บริสุทธิ์ พร้อมกับถ่ายเทพลังเข้าสู่ร่างกายของเธอ ประมาณ 5 นาที เป็นอันเสร็จพิธี 

          หลังจากเสร็จสิ้นลง ผมถามเธอว่า รู้สึกเช่นไร เธอพูดระล่ำระลักออกมาพร้อมน้ำตาว่า... "ข้าน้อยรู้สึกดี มีพลังอันอบอุ่นวิ่งไปทั่วกายข้าน้อย"... ผมจึงบอกเธอว่า มาภาวนาและช่วยเหลือทางวัดนะ เอาธรรมภาวนาเป็นโอสถ อุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรด้วยการภาวนานะ เพราะผมบอกเจ้ากรรมนายเวรไว้แบบนั้น เธอยกมือไหว้ผมหลายครั้ง (ความจริงผมไม่เห็นเจ้ากรรมนายเวรหรอก แต่ก็พอรู้สึกถึงบางอย่างสื่อกลับมา)   

          ท่านทั้งหลาย หัวจิตหัวใจแห่งความเมตตาอันบริสุทธิ์นั้น มันชั่งมีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ ที่ผมไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นตัวอักษรได้ แม้จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อย การให้กำลังใจคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์แสนสาหัสนั้น ก็นับเป็นกุศลที่ประเสริฐแล้ว ผมได้กระทำลงไปแล้ว แม้จะเสี่ยงต่อการถูกอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่น แต่จิตอันเมตตานั้น มันลืมเรื่องนี้ไปทันที นี่คือประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดของผมอีกวาระหนึ่ง

         พวกเราได้เดินทางกลับถึงหนองคาย ประมาณเกือบหนึ่งทุ่ม ผม คุณหนุ่ม และคุณณี ขอแยกกลับโคราชที่ด่านเข้าเมืองหนองคาย กลับถึงโคราชประมาณเกือบตีหนึ่ง ตื่นเช้ามาต่างคนต่างกลับไปทำงานเช่นเคย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

         ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านอ่านจบลงแล้ว ท่านคิดอย่างไร หากเกิดประโยชน์อยู่บ้าง ผมก็ขออนุโมทนา แต่หากเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ก็ขอให้ท่านวางเฉยเสีย นึกเสียว่าเป็นการอ่านนิยายเรื่องหนึ่งก็พอนะครับ ส่วนผมก็ได้ทำหน้าที่ในเรื่องนี้จบลงอย่างบริบูรณ์แล้ว ก็ขอให้ทุกท่าน จงมีความสุขความเจริญทุกท่านเทอญ

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         17 มีนาคม 2555


❇️ บันทึกนักภาวนา ภาคพิเศษ 2
❇️ เส้นทางบุญจากโคราช-หนองคาย 
    สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว
    30-31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 



🌼  ตอนที่ 2
🍂  อัศจรรย์ประเทศลาว 

🔸1. บุพบท

          เรื่องราวของการแสวงบุญ ณ เขตภูเขาควาย ประเทศลาว ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 30, 31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 ในครั้งนี้ จึงเป็นวาระต่อเนื่องจากเมื่อครั้งที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ดังที่ได้นำเสนอไปแล้ว

          การเดินทางในครั้งนี้ เริ่มขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 29 มีนาคม 2555 ผมพร้อมทั้งคุณหนุ่ม (ผอ.ชยุต) และคุณปพน (ลูกน้อง ผอ.หนุ่ม) ได้ออกเดินทางจากโคราช ราวบ่ายสามโมง มุ่งหน้าสู่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิต อำเภอเมือง หนองคาย เพื่อไปพักค้างคืนที่นั่น    พวกเราไปถึงที่นั่นราวสองทุ่มกว่า เมื่อไปถึงได้พบกับหลวงตาเณรและคณะญาติธรรม ที่จะร่วมเดินทางไปประเทศลาวด้วย ประมาณสิบคน เมื่อสนทนากันได้เวลาสมควรแล้ว หลวงตาเณรได้ขอตัวไปภาวนา ส่วนผม คุณหนุ่ม และคุณปพน ได้อาศัยนั่งภาวนาอยู่บนศาลา ซึ่งเป็นที่พักเช่นเคย 

          ค่ำคืนนี้ พวกเราก็ยังคงถูกทดสอบด้วยพลังของพวกมนต์ดำ ที่ส่งวัตถุมาลองของ มีเสียงวัตถุหล่นใส่หลังคาศาลาดังเปรี้ยงปร้าง อยู่เป็นระยะๆ แต่พวกเราคุ้นเคยเสียแล้ว จึงไม่ได้สนใจ ส่วนแม่ออก(ญาติธรรม) ที่นอนบนศาลาด้วยกัน ก็เคยผ่านศึกสู้รบกับพวกมารที่ภูลังกามาแล้ว จึงเฉยเสีย

          เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ผมจึงได้ออกสำรวจบริเวณสำนักสงฆ์อีกครั้ง จึงพบว่า พระพุทธรูปนาคปรกหลวงพ่อองค์ขาว ได้สร้างใกล้เสร็จแล้ว  ต่อมา หลังจากอาหารเช้าแล้ว พวกเราได้มุ่งหน้าเดินทางสู่ประเทศลาว ผ่านสะพานมิตรภาพไทยลาวต่อไป

พระพุทธรูปหลวงพ่อองค์ขาวนาคปรก สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิต


🔸 2. ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง
        สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว

         คณะของพวกเรา เดินทางข้ามฝั่งไปยังภูเขาควาย ประเทศลาว ด้วยรถยนต์ส่วนตัวสองคัน และรถตู้เหมาของลาวอีก 1 คัน มีผู้ร่วมเดินทางประมาณยี่สิบกว่าคน ใช้เวลาในการเดินทางราว 3 ชั่วโมง ก็ถึงที่หมายคือ วัดสันติธรรม พระบาทด่านเพย แขวงเวียงจันทน์ วันนี้ ที่วัดดูคึกคักไปด้วยประชาชนชาวลาว เนื่องจากเป็นวันเริ่มต้นการเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นพระธาตุองค์แรก ที่สร้างขึ้นในรอบ 80 ปี ของประเทศลาว ด้วยบารมีของแม่ชีน้อย 

ป้ายโฆษณาข่าวบุญสมโภชน์พระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี


🔸 3. ความมหัศจรรย์ของหลวงพ่อองค์ดำ

          พระพุทธรูปองค์ดำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่หลวงตาเณรและลูกศิษย์ได้ร่วมกันสร้าง ตามที่หลวงตาเณรบอกว่า หลวงปู่ใหญ่บัญชาลงมา พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นองค์ที่ 9 ที่สร้างก่อนองค์ที่ 7-8 เพื่อลัดคิวตามที่หลวงปู่ใหญ่บอก พวกเราจึงได้เดินทางไปดูสถานที่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้ดำเนินการสร้างประมาณสิบกว่าวันก็เกือบจะแล้วเสร็จ เพื่อให้ทันพิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์ในคราวเดียวกัน 

         วันแรก ที่พวกเรามาถึง และกำลังยืนดูพระพุทธรูปองค์นี้อยู่ ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยปรายมาเป็นสาย กินบริเวณรอบพระพุทธรูปประมาณสิบกว่าเมตร ท่ามกลางแสงแดดจ้า เมื่อเดินออกนอกบริเวณ ก็ไม่มีเม็ดฝนแต่อย่างใด ช่างผู้สร้างพระบอกว่า จะมีเม็ดฝนโปรยลงมาแทบตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะตลอดเวลาสามวัน ก็ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยลงมาตลอดเวลา ประหนึ่งว่า พญานาค มาพ่นน้ำถวายพระพุทธรูปองค์ดำ

         ต่อมาในช่วงบ่ายวันแรก ที่พวกเราเดินทางไปถึง ได้พบพระพุทธรูปห้าพระองค์ ที่อยู่ใกล้กับพระองค์ดำ อยู่ในสภาพที่เก่า  คณะพวกเราจึงมีดำริที่จะซ่อมแซมด้วยการทาสีใหม่ เพื่อให้ทันในพิธีเฉลิมฉลองในคราเดียวกัน คุณป้าแสงผู้ใจบุญ ซึ่งเป็นผู้อุปฐากหลวงตาเณร ได้ดำเนินการจัดหาสี ญาติธรรมจึงได้ช่วยกันทำความสะอาดและทาสีใหม่ งานนี้สำเร็จด้วยผู้หญิง สมกับเป็นเมืองของผู้หญิง



แม่ออกชาวไทย ช่วยกันทำความสะอาดพระพุทธรูป




เจริญพระพุทธมนต์


🔸 4. ค้นหาและบูรณะพระพุทธบาทสี่รอย

          ในเช้าของวันที่ 31 มีนาคม 2555 พวกเราได้ร่วมกันปลูกต้นศรีมหาโพธิ์และต้นสาระ ที่นำไปจากประเทศไทยหลายต้น ขณะที่ทำพิธีปลูกต้นโพธิ์อยู่นั้น ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยลงมาเป็นระยะ เฉพาะในบริเวณนั้น 

          หลังจากได้ปลูกต้นโพธิ์เสร็จแล้ว พวกเราได้เดินทางไปยังบริเวณพระพุทธบาทสี่รอย ที่อยู่ห่างจากวัดประมาณ 500 เมตร เมื่อไปถึงแล้ว หลวงตาเณรได้จุดธูปบอกกล่าว และนำสวดมนต์เป็นพุทธบูชา พวกเราได้ร่วมกันทำความสะอาดบริเวณนั้น ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงช่วงบ่ายก็แล้วเสร็จ ตอนแรกรอยพระพุทธบาท เห็นแค่สองรอย อีกสองรอยนั้นทุกคนคิดว่าใช่ แต่เมื่อผมพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว คิดว่าคงไม่ใช่ ผมจึงต้องเดินสำรวจดูในบริเวณใกล้เคียง จึงพบอีกสองรอยที่ดินกลบอยู่ รวมทั้งรอยเล็กๆอีกสองสามรอย จึงได้ทำการขุดแต่งหน้าดินออก จึงมองเห็นรอยพระพุทธบาทชัดเจนมากขึ้น ส่วนรอยใหญ่ที่คิดว่าเป็นรอยพระพุทธบาทนั้น แท้จริงเป็นบ่อน้ำเป็นดานไห พอขุดเอาดินออกปรากฏว่ามีน้ำผุดขึ้นมามาก









มีรูปแผนที่ประเทศไทยนูนขึ้นมาอยู่ใกล้รอยพระพุทธบาท 
ประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่า ญาติธรรมชาวไทยจะมาเป็นผู้บูรณะรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ 
ด้วยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญอยู่บริเวณนี้กระมัง


รอยพระพุทธบาทครบทั้งสี่รอย

คล้ายรอยบาทสาวก


🔸 5. พิธีสมโภชน์พระธาตุเจดีย์องค์แรก 
      ในรอบ 80 ปีของลาว

           ก่อนที่พิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี จะมีขึ้นในช่วงหัวค่ำ ในตอนเช้าของวันที่ 31 มีนาคม 2555 แม่ชีน้อยและคณะได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับมาจากประเทศอินเดีย ที่เมืองหลวงพระนครเวียงจันทน์ โดยการแห่ด้วยขบวนรถ มีข้าราชการและผู้ใหญ่ทางการลาวมาร่วมงานหลายท่าน ส่วนผมเองได้นำพระบรมสารีริกธาตุจำนวน 2 ผอบ ไปมอบให้กับแม่ชี ซึ่งท่านได้นำไปบรรจุในพระธาตุเจดีย์ด้วย   นอกจากนั้น ผมและคุณหนุ่มได้ถวายเงินปัจจัย เพื่อร่วมสร้างพระธาตุเจดีย์จำนวนหนึ่ง รวมทั้งคณะของหลวงตาเณรและญาติธรรม ก็ได้นำผ้าป่ามาถวายในครั้งนี้ด้วย




ดร.นนต์ถวายพระบรมสารีริกธาตุและปัจจัยแด่แม่ชีน้อย 
พร้อมได้ถ่ายภาพร่วมกันกับคณะญาติธรรมจากเมืองไทย


          ต่อมา พิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี ในรอบ 80 ปี ของประเทศลาว ได้เริ่มขึ้นในค่ำคืนของวันที่ 31 มีนาคม 2555 โดยมีพิธีสวดมนต์ สลับกับการลำหรือแหล่มงคลทำนองลาว ตลอดทั้งคืน โดยมีทั้งพระสงฆ์ แม่ชี แม่ขาว อุบาสกอุบาสิกา ทั้งจากประชาชนชาวลาว และชาวไทย จำนวนหลายร้อยคน ผมเองหลังจากได้สวดมนต์หน้าพระพุทธรูปหลวงพ่อองค์ดำแล้ว ได้ไปนั่งภาวนาอยู่ด้านหลังของพระเจดีย์ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์และการแหล่มงคลสลับกันไป สมาธิมีทั้งสงบบ้าง พิจารณาธรรมบ้าง เหนื่อยก็ล้มตัวลงนอนภาวนา กึ่งหลับกึ่งตื่น จึงฝันเป็นเรื่องเป็นราวตามทำนองการแหล่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานนครเวียงจันทน์ เรื่องราวของพระนางผมหอม เรื่องราวของพระเวสสันดร และเรื่องราวของพระนางผุสดี ฟังแล้วก็ชั่งไพเราะจับใจ เสมือนเรื่องจริงและเรื่องฝัน เสมือนอยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง เสมือนอยู่ในเหตุการณ์ของเรื่องราวเหล่านั้นจริง  เสียงของคนลำก็ชั่งไพเราะ เสียงของพระที่สวดทำนองลาวก็ชั่งไพเราะ นี่หนอ เสียงแห่งโลก เสียงแห่งมนต์ เสียงแห่งธรรม แม้จะอยู่ที่แห่งใด ก็ชั่งมีแต่ความสุขเบิกบาน ด้วยเพราะเหตุแห่งศรัทธาในพระศาสนา 

         และต่อมา ประมาณตีสี่ ขณะที่ผมครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงตะไล ที่ถูกจุดดังขึ้นหลายนัด พร้อมกับเสียงอื้ออึงของผู้คน คล้ายเสียงสาธุการ ผมเองถึงกับต้องตื่นขึ้นมานั่งภาวนาต่อ  และมาทราบในภายหลังว่า มีพระแก้วเสด็จมาทางอากาศ มายังปะรำพิธี 1 องค์ ขนาดเท่าใดผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้เห็น จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในค่ำคืนนี้ ความจริงผมไม่แปลกใจหรอก เพราะผมก็เห็นพระและวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เสด็จมาทางอากาศอยู่เป็นประจำ




พิธีเฉลิมฉลองหรือชาวลาวเรียกว่า การสมโภชน์พระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี 
ซึ่งตั้งชื่อตามที่มาของแม่ชีน้อย


🔸 6. สงเคราะห์สตรีลาว
        ผู้เป็นโรคท้องมาร (ครั้งที่ 2)

          ในช่วงเช้าก่อนกลับเมืองไทย วันที่ 1 เมษายน 2555 สิบเอกอารีได้เดินมาหาผม แล้วบอกว่า... "อาจารย์ช่วยไปสงเคราะห์พี่สาวชาวลาว ที่อาจารย์เคยช่วยรักษาโรคท้องมาร เมื่อคราวที่แล้วด้วยครับ"... ผมจึงต้องเดินกลับไปยังบริเวณเจดีย์อีกครั้ง พอไปถึงก็พบกับสตรีชาวลาว ผู้ที่ผมเคยช่วยสงเคราะห์อธิษฐานจิตช่วยรักษาโรคท้องมาร ที่หมอไม่รับรักษาแล้ว ด้วยจิตอันเมตตาเมื่อคราวที่แล้ว (11 มีนาคม 2555) ผมเองก็รักษาไปตามวิถีจิตของผม ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะรักษาได้จริง ก็ทำๆไป เพื่อให้กำลังใจแก่เธอ แต่พอมาวันนี้ เธอเล่าให้ฟังว่า หลังจากผมสงเคราะห์เธอแล้ว เธอเกิดปีติสามารถกินอาหารได้มาก ความเจ็บปวดทรมานลดลง เธอสามารถนอนพลิกกายได้ สามารถนั่งภาวนาได้ ทำตามที่ผมบอก ทุกวันนี้ร่างกายที่บวมใหญ่ไปด้วยน้ำ ได้ยุบลง ร่างกายมีเนื้อมีเลือดมากขึ้น การกิน การนอน การขับถ่ายดีขึ้น ผมจึงได้สงเคราะห์เธออีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นลง ผมถามเธอว่า รู้สึกเป็นอย่างไร เธอตอบว่า คราวที่แล้วมีพลังวิ่งเข้าสู่กายเธอมากกว่าครั้งนี้ ผมจึงได้แต่ยิ้มๆ และให้พรเธอ ให้หายไวไว

         ท่านทั้งหลาย อย่าเข้าใจผิดว่า ผมเป็นผู้วิเศษที่สามารถรักษาโรคร้ายได้ ผมกระทำไปด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ด้วยจิตอันเป็นเมตตา ผมไม่รู้หรอกว่า จะได้ผลจริงๆ แต่ผมกระทำไปเพื่อให้กำลังใจเธอต่างหาก แม้ขณะที่กระทำนั้น จะหมดพลังไปมากก็ตาม แต่เป็นพลังบุญที่เกิดจากจิตอันบริสุทธิ์ ก็นับเป็นกุศลแล้ว ความจริงไม่จริงทั้งหลาย ผมขอทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดกาล

🔸 สรุปท้ายเรื่อง
 
         ท่านทั้งหลาย เรื่องราวที่ผมได้เขียนไปทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริงที่พบเจอมา แต่ความจริงแท้ทั้งหมด มันยังเกินวิสัยของผมที่จะรู้แจ้งได้ทั้งหมด ขอให้ท่านอ่านแบบวางใจไว้กลางๆ ค่อยๆพิจารณาตามไปว่า ส่วนไหนเป็นความจริงได้บ้าง ส่วนใดยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย ข้อความใดต้องพิจารณา ข้อใดไม่สามารถเป็นความจริงได้ ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาทั้งความจริงและไม่จริง เป็นอุบายธรรม แล้วท่านจะได้ประโยชน์จากการอ่านเรื่องราวเหล่านี้

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         12 เมษายน 2555



นิราศหนองคาย ๒๕๕๖
"สภาวธรรมตามนิมิต"
..................................................

         ๑๖-๑๗ พฤศจิกาพาไปถึง
ที่แห่งหนึ่งซึ่งผูกพันมาก่อนหนา
ไปตามสัจจะที่เอ่ยสัญญา
ว่าผู้ข้ามาสร้างบุญบารมี
เมื่อคืนก่อนเธอผู้อยู่ในโลกทิพย์
มากระซิบเป็นนัยจิตวิถี
ว่าข้าบาทคือนางนาคี
สถิตอยู่ที่บ่อน้ำโบราณ

          พอรุ่งเช้ามีบุรุษโทรมาหา
ว่าหลวงตา(เณร)ผู้เคร่งกัมมัฏฐาน
ขอแรงบุญบารมีของอาจารย์
มาอธิษฐานช่วยกันอีกครา
ปีก่อนพากันไปภูเขาควาย
บากบั่นกันไปตามปรารถนา
สร้างพระพุทธรูปไว้บูชา
ณ แผ่นพสุธาประเทศลาว

         ปีนี้ หลวงตาสร้างพระองค์ใหญ่
ประดิษฐานไว้ข้างพระองค์ขาว
นับเป็นองค์ที่สิบต่อจากลาว
บนปฐพีชาวเมืองหนองคาย
จึ่งนำพระบรมสารีริกธาตุ
แลวัตถุธาตุไปบรรจุไว้
เพื่อสืบพุทธศาสนาต่อไป
ประกาศไว้แผ่นดินนี้มีธรรม

         ราตรีก่อนวันลอยกระทงปีนี้
มีพิธีสมโภชตั้งแต่หัวค่ำ
กวนข้าวทิพย์ด้วยสาวพรหมจรรย์
จุดตะไลคั่นกันตามประเพณี
มุมหนึ่งมีเทพแฝงร่างสังขาร
แผ่ญาณผ่านร่างสตรีผิวสี
ใครจะให้ช่วยรีบมาอย่ารอรี
ปู่ตาเจ้านี้มาจากฝั่งลาว

         โอ้หนอ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์
ชั่งแสนทุกข์สุดแท้จริงหนอท้าว
มีความสุขบ้างก็แสนชั่วคราว
เธอ ท้าว ก้าวไปในวงพิธี
หนุ่มนี้ สาวนั่น คลานเข้าไปหา
ขอปู่ตาปลดทุกข์ที่เป็นอยู่นี้
ปู่ตาบอกสารพัดวิธี
คราวนี้คงหายแน่กันทุกคน

          อีกมุมหนึ่ง บุรุษผู้ยังโง่เขลา
พิจารณาเข้าในความสับสน
เห็นความสุขทุกข์ทั้งเทพทั้งคน
ปะปนอลหม่านทั้งเขาทั้งเรา
มนุษย์สุขทุกข์ก็แบบมนุษย์
เทวดาสุขทุกข์ก็แบบเขา
สัตว์โลกล้วนมีทุกข์ไม่สร่างเซา
มีสุขใดเล่าที่เจ้าว่ามี

         เราผู้เขลาเฝ้าภาวนาเพียรพร่ำ
พิจารณาย้ำคำว่าทุกข์อีหลี
แล้วผู้ยังหลงเพลินอยู่ในวารี
ยังสุขดีกันอยู่หรืออย่างไร
จงกรมภาวนาไปตามถนน
เห็นผู้คนมีทุกข์มากแค่ไหน
ใจเรายิ่งทุกข์มากกว่าใครใคร
น้ำตาจึงไหลออกมาคลอคลอ

         กลับมานั่งภาวนาต่อ
ข้าขออุทิศให้ท่านตามคำขอ
ชาวโลกทิพย์โลกวิญญาณที่มารอ
อีกทั้งขอให้ทุกคนที่มา
บุญใดใดที่เราสร้างสมมาดี
ขอให้สุขีทั้งกายใจหนา
ทุกข์โศกเศร้าที่เคยมีมา
ขอธรรมรักษาทุกท่านเทอญ

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖




พิธีกวนข้าวทิพย์ และปล่อยโคมไฟเฉลิมฉลอง