ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
สงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นอ้างอิงตามหลักวิชาการ
25 กันยายน 2555
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund
Freud) เป็นจิตแพทย์ชาวออสเตรียเชื้อสายยิว
เกิดในครอบครัวพ่อค้าขายผ้าขนสัตว์เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1856
ที่เมืองฟรายเบิร์ก แคว้นโมราเวีย ในจักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน
ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของประเทศเชโกสโลวะเกีย และเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1939 รวมอายุ 83 ปี ฟรอยด์นับเป็นยอดอัจฉริยะและได้รับการยกย่องว่าเป็น
บิดาแห่งจิตวิทยา เขาเป็นเจ้าของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาในเรื่องนี้มากที่สุดคนหนึ่งของโลก
ฟรอยด์ต้องฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตมากมายทั้งความอดทนต่อความทุกข์ ความโดดเดี่ยว และแม้แต่การไร้ซึ่งมิตรภาพที่แลกมาด้วยความสำเร็จในหน้าที่การงานของเขา
เมื่อฟรอยด์อายุได้ 4 ขวบ ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเวียนนา
ประเทศออสเตรีย ในวัยเด็กฟรอยด์ได้รับอิทธิพลทางความคิดเบื้องต้นจากบิดาของเขา
ซึ่งเป็นชาวยิวสมัยใหม่ที่สนใจในแนวคิดเสรีนิยม สนใจในการเมืองและวรรณกรรมร่วมสมัย
อีกทั้งยังชอบอ่านหนังสือมาก จึงทำให้เขาฉลาดและสอบได้ที่ 1 ทุกครั้ง เมื่ออายุได้
17 ปี เขาสอบเข้าศึกษาต่อวิชาแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนา หลังจากเรียนจบเขาได้ค้นคว้าต่อทางด้านเซลล์สมอง และได้รับทุนไปศึกษาเกี่ยวกับโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับชาร์โกต์
(Jean Martin Charcot) ซึ่งชาร์โกต์เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรปขณะนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของฮิททีเรีย (Hysteria)
และเทคนิคการรักษาอาการทางประสาทด้วยการสะกดจิต (Hypnotism)
ความเข้าใจที่ฟรอยด์ได้รับจากชาร์โกต์ ทำให้เขาหันมาสนใจค้นคว้าเรื่อง
"จิตไร้สำนึก” และ “ความเก็บกด” ของมนุษย์ในเวลาต่อมา เมื่อกลับมายังกรุงเวียนนา
เขาตัดสินใจทำงานเป็นแพทย์ทางด้านสมองและประสาท และแต่งงานกับมาร์ธา
เบิร์นเนย์ จนมีลูกด้วยกันถึง 6 คน
หลังจากที่เดินทางกลับจากการทำงานกับชาร์โกต์ที่ปารีสเมื่อปี
ค.ศ. 1886 เป็นต้นมา ฟรอยด์ได้ให้ความสนใจกับงานด้านการบำบัดโรคประสาท
และเทคนิคทางด้านการสะกดจิตอย่างจริงจัง ฟรอยด์ได้พบว่า คนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ทางร่างกาย เขาจึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ คือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้น เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากการอัมพาตเมื่อรักษาด้วยวิธีนี้
เทคนิควิธีการรักษานี้เรียกว่า Free Association อันเป็นพื้นฐานของการรักษาคนไข้ตราบเท่าทุกวันนี้
ฟรอยด์ได้ค้นพบว่า
ความยากลำบากที่คนไข้ต้องประสบในการเล่าหรือระบายความในใจเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือประสบการณ์ในอดีตของตน
เป็นเพราะมีกระบวนการ “ต่อต้าน” (Resistance) เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ป่วย จากการต่อต้าน ฟรอยด์ได้ค้นพบกระบวนการ
“เก็บกด” ซึ่งเป็นกระบวนการที่จิตไร้สำนึกของมนุษย์
ซ่อนเร้นปิดบังความรู้สึกและความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีตเอาไว้ (ยศ สันตสมบัติ.2542:10) และจากประสบการณ์ในการรักษาด้วยวิธีนี้
ทำให้ฟรอยด์พบว่า ความทรงจำที่คนไข้เก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของประสบการณ์ทางเซ็กส์ในวัยเด็ก ในตอนแรก มีผู้คัดค้านไม่ยอมรับ
แต่ฟรอยด์ก็ได้ศึกษาและทดลอง จนผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับทั่วไปในที่สุด
นอกจากความสามารถในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่โด่งดังดังกล่าวแล้ว ฟรอยด์ยังให้ความสนใจในการศึกษาและพยายามอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมอีกด้วย
ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวของเขาว่า “หลังจากที่ฉันได้ใช้เวลาอันยาวนาน
อ้อมผ่านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ แพทยศาสตร์ และจิตบำบัด
ความสนใจของฉันก็หวนกลับไปสู่ปัญหาทางด้านวัฒนธรรม
ซึ่งได้ประทับตรึงอยู่ในใจฉันมาเนิ่นนานตั้งแต่เด็กยังไม่โตพอที่จะคิดเป็น” (ยศ สันตสมบัติ. 2542:ไม่ปรากฏเลขหน้า) นักปราชญ์คนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อเขาเช่น
เพลโต, ฮูม, ฟูเออร์บาร์ค, จอห์น สจ๊วต มิลล์, นิทเช่ โดยเฉพาะ เอ็ดเวิร์ด
ฮาร์ตมานน์
ได้มีอิทธิพลต่อแนวความคิดทางการเมืองและความสนใจในปัญหาเชิงสังคมวัฒนธรรมของฟรอยด์เป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นเขายังสนใจในทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส ดาร์วิน รวมทั้งงานของ เอ็ดเวิร์ด ไทเลอร์, จอห์น
ลับบอค, ลิววิส เฮนรี มอร์แกน และนักมานุษยวิทยาวิวัฒนาการอีกหลายคน เป็นต้น
ยศ สันตสมบัติ
(2542) ได้ศึกษาจิตวิเคราะห์และทฤษฎีสังคมของซิกมันด์ ฟรอยด์ อย่างละเอียด
โดยได้อธิบายว่า ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์อาจแบ่งออกได้เป็นสองส่วนด้วยกัน
ส่วนแรกคือ การศึกษากระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization) ส่วนที่สองคือ
การอธิบายระบบค่านิยม ศาสนา และระบบวัฒนธรรม
ซึ่งทฤษฎีทั้งสองส่วนนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น เพราะกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมย่อมได้รับอิทธิพลจากระบบวัฒนธรรม
ความเชื่อ และค่านิยมทางสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังได้อธิบายถึงการสร้างกรอบทฤษฎีเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมพอสรุปได้ดังนี้
“จิตไร้สำนึก” (Unconscious) จากการศึกษาฮิสทีเรียทำให้ฟรอยด์ค้นพบว่า
คนเราอาจเก็บกดความทรงจำไว้ในจิตไร้สำนึก
และความทรงจำนั้นย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตของคนผู้นั้นต่อไปในภายภาคหน้า จิตไร้สำนึกตามทัศนะของฟรอยด์จึงเป็นกระบวนการที่มนุษย์ขจัดประสบการณ์และความทรงจำอันเจ็บปวดออกจากจิตสำนึกของตน
ฟรอยด์ได้เขียนงานสำคัญที่เกี่ยวกับมโนทัศน์เรื่องจิตไร้สำนึกก็คือ “การแปลความฝัน” (Interpretation of Dream) ในปี 1900 ซึ่งฟรอยด์เชื่อว่า การที่มนุษย์เรามีความฝันเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
จิตไร้สำนึกของมนุษย์มีจริงและทำงานอยู่ตลอดเวลาทั้งในยามหลับและยามตื่น ในความฝัน
จิตไร้สำนึกของมนุษย์อาจเสนอความคิดที่ขัดแย้งกันออกมา
หรือความคิดเหล่านั้นอาจถูกเสนอออกมาในรูปของสัญลักษณ์ (Symbol)
ซึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งอื่น เช่น งู อาจเป็นตัวแทนขององคชาตหรืออวัยวะเพศชาย (Phallic)
ฟรอยด์เรียกกระบวนการที่สัญลักษณ์อันหนึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งอื่นนี้ว่า “การแทนที่” (Displacement)
“สัญชาตญาณและเซ็กส์” ฟรอยด์เชื่อว่า
สัญชาตญาณทางเซ็กส์เป็นสิ่งที่มนุษย์มีอยู่ตั้งแต่เกิด และพัฒนาขึ้นพร้อมๆ
กับกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม ฟรอยด์ยังได้แบ่งแยกระหว่าง “เป้าหมายทางเซ็กส์” (Sexual Object) กับ “จุดมุ่งหมายทางเซ็กส์” (Sexual Aims) เป้าหมายทางเซ็กส์
อาจจะเป็นใครสักคน ทั้งเพศชายและเพศหญิง
ผู้ชายคนหนึ่งอาจปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นเป้าหมายทางเซ็กส์ของเขา ผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน
อาจปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกัน
เป้าหมายทางเซ็กส์จึงอาจเป็นได้ทั้งชายและหญิง ไม่จำกัดเพศและวัย ส่วน จุดมุ่งหมายทางเซ็กส์ หมายถึงพฤติกรรมหรือการกระทำ
เช่น การสัมผัสเล้าโลม กอดจูบ การมองดู จนกระทั่งถึงการสมสู่
รวมทั้งการกระทำที่เป็นซาดิติกและมาโซชิสติก อย่างไรก็ตาม
เซ็กส์ตามทัศนะของฟรอยด์ครอบคลุมไปถึงสัญชาตญาณและพฤติกรรมของเด็กทารก วัยรุ่น
และผู้ใหญ่ด้วย
มโนทัศน์เรื่องเซ็กส์ของฟรอยด์นี้ ยศ สันตสมบัติ เน้นว่า มันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์
เพราะมโนทัศน์นี้ช่วยปูพื้นฐานของแนวทางในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายมนุษย์
การแสวงหาความพึงพอใจ และการเรียนรู้ทางสังคม ฟรอยด์ชี้ให้เราเห็นว่า
ธรรมชาติของมนุษย์ พยายามตักตวงความสุขความพึงพอใจทางสัญชาตญาณให้มากที่สุด
และในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็พยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด (Guilt) และการลงโทษ (Punishment)
“เซ็กส์และศีลธรรม”
ฟรอยด์เชื่อว่า ผู้ที่มีสัญชาตญาณทางเซ็กส์ที่รุนแรง
แต่เก็บกดความต้องการของตนไว้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม
มักกลายมาเป็นผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต ซึ่งฟรอยด์เรียกว่า นิวโรสิส (Neurosis หรือ Psychoneurosis)
ผู้ที่ป่วยหรือมีอาการทางจิตเหล่านี้
คือคนที่ยึดถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ระบบศีลธรรมกำหนดเอาไว้
แต่การยึดถือปฏิบัติตามกรอบของจารีตประเพณีและระบบศีลธรรมนั้น
ทำให้คนเหล่านี้ต้องจ่ายค่าชดใช้ไปอย่างมาก ผู้ป่วยประเภทนี้จึงมักเป็นผู้มีสัญชาตญาณทางเซ็กส์รุนแรง
และไม่มีความสามารถพอที่จะแปลง (Sublimate)
สัญชาตญาณทางเซ็กส์ของตนไปสู่กิจกรรมประเภทอื่นๆ เช่น กีฬา การทดลอง ศิลปะ
และดนตรี นอกจากนั้น
ฟรอยด์ยังได้แสดงทัศนะว่า เด็กๆ เริ่มเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสังคมวัฒนธรรมของตนมากขึ้น
เมื่อเด็กย่างเข้าสู่ระยะองคชาต (อายุ 3-5 ขวบ)
ซึ่งเป็นระยะที่เด็กเริ่มเรียนรู้และได้รับการอบรมให้รู้จักบทบาทของตน
ถูกสอนให้ประพฤติตนเป็น “เด็กชาย” หรือ “เด็กหญิง”
ที่ดีตามวัฒนธรรมได้กำหนดไว้
“ปมเอดิปัส” (Oedipus Complex) เป็นคำที่ฟรอยด์หยิบยืมมาจากบทละครเรื่อง “Oedipus Rex” ของโซโพคลีส จากบทละครในเรื่องนี้ ฟรอยด์เสนอว่า
ความรู้สึกที่เด็กๆ ทุกคนต้องประสบมาในช่วงระยะองคชาต นั่นคือ ความรู้สึกรักหวงแหน
ต้องการความใกล้ชิด และความอบอุ่นจากแม่ “ปมเอดิปัส”
เป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเด็กชายที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับแม่
แต่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับพ่อ เด็กชายจะแข่งขันกับพ่อและต้องการขจัดพ่อออกไปด้วย
เพื่อฝันที่เป็นจริงของตนจะได้เป็นเจ้าของแม่แต่เพียงผู้เดียว เด็กชายจึงมีพฤติกรรมเชิงอริกับพ่ออย่างมากช่วงหนึ่งอย่างไร้เดียงสา
กรณีของเด็กหญิงก็มีปมคล้ายๆ กันที่เรียกว่า “ปมอิเล็กตร้า” (Electra Complex) ซึ่งเป็นปมติดพ่อหรือปมรักพ่อ ฟรอยด์เชื่อว่า เด็กๆ
ทั้งชายและหญิงมีลักษณะของความเป็นชาย (Masculinity)
และความเป็นหญิง (Femininity) อยู่ในตัว
ในขณะที่เด็กผู้หญิงมีลักษณะของความเป็นชายและผูกพันอยู่กับแม่ของตน
เด็กชายก็มีลักษณะของความเป็นหญิงซึ่งก่อให้เกิดความผูกพันต่อพ่อเช่นเดียวกัน
ในลักษณะเดียวกันเด็กชายก็มีความเป็นชายที่ก่อให้เกิดความผูกพันต่อแม่
และเด็กหญิงก็มีความเป็นหญิงที่ก่อให้เกิดความผูกพันต่อพ่อของตนมาตั้งแต่เกิด มนุษย์ตามทัศนะของฟรอยด์จึงมีลักษณะเป็น
ไบเซ็กชวล (Bisexual)
กิติกร มีทรัพย์
(2549:109) อธิบาย “ปมเอดิปัส” ว่า
จิตวิทยาสมัยใหม่วิเคราะห์ว่าเรื่องนี้เป็นธรรมชาติของพัฒนาการของมนุษย์
เด็กชายเป็นคู่แข่งกับพ่อ ก็จะเลียนแบบพ่อทำตัวให้เหมือนพ่อมากขึ้นในทุกลีลา
ท่าทางการพูดจาวิสาสะ อารมณ์และรสนิยมการแต่งตัว ซึ่งจะทำให้เด็กชายเป็นชายสมชาย
กรณีที่เด็กชายบางคนขาดพ่อ
เด็กชายจะอาศัยผู้ชายอื่นในบ้านหรือเพื่อนบ้านเป็นต้นแบบแทน ต้นแบบจึงมีความสำคัญ
หากได้ต้นแบบนุ่มๆ โน้มเอียงไปทางขี้อ้อน หน่อมแน้ม เด็กชายจะขาดความมาดมั่น
ทะมัดทะแมง ดูเป็นซิสซี่บอยหรืออีผู้ชายไปได้
ยศ สันตสมบัติ
(2542:44-46) อธิบายถึงทฤษฎีสังคมของฟรอยด์ว่า
มีรากเหง้ามาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากทฤษฎีสังคมอื่นๆ
โดยสิ้นเชิง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
ทฤษฎีสังคมของฟรอยด์เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยอารมณ์ (Emotions)
และอิทธิพลของอารมณ์ที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของมนุษย์... นอกจากจิตไร้สำนึกแล้ว
พื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของทฤษฎีสังคมของฟรอยด์ก็คือ มโนทัศน์เรื่อง “สัญชาตญาณแห่งความตาย” (Death Instinct) ซึ่งฟรอยด์ค้นพบว่า
ศาสนาทุกศาสนาในโลกมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการเซ่นสังเวยและการบูชายัญ อันเป็นส่วนสำคัญในระบบสัญลักษณ์ของศาสนาต่างๆ
ความสนใจในด้านนี้จึงทำให้ ฟรอยด์เขียนหนังสือเรื่อง Totem and Taboo ในปี ค.ศ. 1913
กิติกร มีทรัพย์ (2549:132-133) อธิบาย
Totem and Taboo ว่า
สาระสำคัญอยู่ตรงนำเอาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ไปอธิบายระบบความเชื่อของมนุษย์ในสังคมบรรพกาล
ซึ่งมนุษย์ยังแยกกันอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ คนที่เข้มแข็งที่สุดในกลุ่มคือ พ่อ
มีอำนาจเหนือกว่าใครๆ ทั้งหมด อันทำให้ลูกชายเกิดความรู้สึกถูกกดดัน
เพราะอำนาจของพ่อ ลูกชายจึงร่วมมือกันต่อต้านและฆ่าพ่อ
แต่เกิดความรู้สึกผิดบาปขึ้นภายหลัง จึงพยายามเก็บกดความปรารถนาของตนที่มีต่อแม่
พี่สาว หรือน้องสาวของตน อันเป็นต้นกำเนิดข้อห้ามรักร่วมสายเลือด (Incest)
หรือการสมรสเผ่าพันธุ์เดียวกัน ฟรอยด์เชื่อว่า โทเท็ม (Totem)
หรือรูปเคารพเหล่านั้น เป็นสัญลักษณ์สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของพ่อที่ถูกฆ่าตายไปแล้ว
หรือเป็นสัญลักษณ์บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ นัยหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันที่ลูกๆ
มีต่อพ่อของเขา
ขณะเดียวกันโทเท็มก็เป็นสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวความเกลียดชังในตัวพ่อด้วยเหมือนกัน
การฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ
เป็นสัญชาตญาณแห่งความตายของมนุษย์ ผลงานโทเท็ม แอนด์ ตาบูนี้ เป็นความพยายามของ ฟรอยด์ที่จะใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์มาอธิบายความเชื่อ
(Belief) ของมนุษย์
ในช่วงปี
ค.ศ. 1923 ฟรอยด์ได้เขียนงานชื่อ The Ego and the Id ซึ่งมีสาระสำคัญคือ
โครงสร้างจิตใจของบุคคลอันประกอบไปด้วย อีโก้,
ซูเปอร์อีโก้ และ อิด ดังนี้
อิด (Id)
เป็นส่วนหนึ่งของจิต ซึ่งเดิมเชื่อว่าเป็นจิตไร้สำนึกที่เต็มไปด้วยสัญชาตญาณและความต้องการ
ความจำสำคัญทั้งปวงที่เก็บกักไว้ เป็นส่วนดำมืดของคน
เป็นปีศาจหรือมาร
ซูเปอร์อีโก้ (Super Ego) หมายถึงคุณธรรม ความงาม ความดี ประเพณีและจริยธรรม เป็นศีลธรรมและความรู้สึกที่ฝังอยู่ภายใน
เป็นคุณสมบัติที่เด็กๆ ได้จากพ่อแม่โดยตรงและโดยการเรียนรู้ว่าถูกหรือผิด
ดีหรือชั่วด้วยตนเอง
อีโก้ (Ego)
เป็นส่วนที่สาม เป็นตัวจัดการร่วมกับอิดและยืนอยู่คนละข้างกับซูเปอร์อีโก้
เป็นตัวการของความจริงด้วยการรับรู้ คิดและจำ อีโก้จะป้องกันไม่ให้ปรารถนาที่เป็นข้อห้ามไหลบ่าท่วมท้น
กับพัฒนากลไกทางจิต เช่น เก็บกด เลียนแบบ เปลี่ยนที่ ใส่โทษผู้อื่น โดดเดี่ยว
ปฏิเสธไม่รับรู้และอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อีโก้ต้องเจ็บปวด เสียหน้าหรือต่ำต้อย
แต่กลไกทางจิตนี้อยู่นอกเหนือจิตสำนึก เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (กิติกร มีทรัพย์. 2549:67-68)
แสดงว่าจิตใต้สำนึกของคนเราที่ประกอบไปด้วย
3 ส่วนนั้น อิด จะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดหรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง
เช่น รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งหากคนเรามีอิดเพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ในขณะที่ ซุปเปอร์อีโก้ จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ
เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรมหรือศีลธรรม
ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิดและซุปเปอร์อีโก้นั้น
จะมี อีโก้ อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงออกด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปคือ
ด้านหนึ่งควบคุมอิดไม่ให้มีสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมหรืออีโก้เพียงอย่างเดียวเช่นกัน หรืออาจสรุปสั้นๆ ว่า อิด เป็นแรงขับของจิตใต้สำนึก
ความคิด ร่างกาย จิตวิทยา และเพศ หรือที่เรียกว่าเป็นความปรารถนาที่เราต้องการ ซูเปอร์อีโก้ เป็นตัวตรวจสอบ ตักเตือนหิริโอตตัปปะ หรือควบคุมการแสดงบุคลิกภาพทางสังคมของคนว่าสิ่งใดควรจะทำหรือสิ่งใดไม่ควรทำ
หรือที่เรียกว่าเป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่เป็นกฎเกณฑ์ปฏิบัติในชีวิต อีโก้ เป็นตัวปรองดองระหว่างความต้องการของ
อิด และ ซูเปอร์อีโก้ หรืออีโก้ก็คือตัวของเราที่อยู่ตรงกลางนั่นเอง
ยศ สันตสมบัติ (2542:66-69)
อธิบายว่า ตามทัศนะของฟรอยด์ ความปรารถนาที่จะใช้ความรุนแรงถูกควบคุมโดยซูเปอร์อีโก้ในระดับจิตไร้สำนึก
ทุกครั้งที่ความปรารถนาที่จะใช้ความรุนแรงถูกระงับ
ซูเปอร์อีโก้ของบุคคลนั้นจะเข้มแข็งขึ้นแต่บุคคลนั้นก็จะมีความรู้สึกผิด
อันเป็นผลเนื่องมาจากว่าความรุนแรงถูกกักเก็บไว้ภายใน ไม่ได้รับการระบายออก
เพราะซูเปอร์อีโก้ตักเตือนหากความรู้สึกผิดมีมาก จะทำให้บุคคลลงโทษตนเอง
ใช้ความรุนแรงต่อตนเอง...ใครก็ตามที่ใช้ความรุนแรงโดยไม่ถูกตำหนิโดยซูเปอร์อีโก้จะไม่รู้สึกผิด
แต่เขาก็ย่อมมิใช่มนุษย์ตามมาตรฐานของสังคมโดยทั่วไป... ความรู้สึกผิดเป็นรากเหง้าของอารยธรรม...
สถาบันศาสนานำเอาความรู้สึกผิดมาเป็นเครื่องมือบังคับให้มนุษย์ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ
สถาบันศาสนาจึงมีลักษณะเป็น “ซูเปอร์อีโก้ในระดับวัฒนธรรม” (Cultural Superego)
หรือกลไกในการถ่ายทอดความรู้สึกผิดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง
ในปี
ค.ศ. 1927 ฟรอยด์ได้นำเอาทฤษฎีจิตวิเคราะห์มาประยุกต์ใช้อธิบายสังคมในงานเขียนเรื่อง
The Future of an Illusion ในหนังสือเล่มนี้
ฟรอยด์ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการที่วัฒนธรรมถ่ายทอดค่านิยมและความเชื่อจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง
โดยผ่านองค์กรสังคมที่สำคัญคือ “ศาสนา” ซึ่งมนุษย์เรามีการตอบสนองต่อศาสนาและคำสั่งสอนทางศาสนา
คล้ายๆ กับที่เรามีการสนองตอบและมีความผูกพันต่อพ่อ
และศาสนาตามทัศนะของฟรอยด์ก็คือ
เป็นเรื่องของอารมณ์ไม่ใช่เรื่องของเหตุผลหรือประสบการณ์ ศาสนาจึงเป็นเสมือนดั่ง “ภาพลวง” (Illusion) ที่สนองตอบความปรารถนาของมนุษย์
และศาสนาจะดำรงอยู่ได้ในสังคมและอารยธรรมสมัยใหม่ ก็เพราะความปรารถนาหรือความต้องการที่พึ่งพิงทางอารมณ์และจิตใจของมนุษย์
มิใช่ด้วยเหตุผล หลังจากนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1937-1938
ฟรอยด์ได้เขียนหนังสือเรื่อง
Moses and Monotheism อันเป็นช่วงที่นาซีเข้ายึดครองกรุงเวียนนา
ในหนังสือเล่มนี้ ฟรอยด์พยายามที่จะอธิบายสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์สองกลุ่มที่มีความคล้ายคลึงทางศาสนา
หรือมีพัฒนาการทางความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกัน
ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในระดับจิตใต้สำนึก ความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง
ผลักดันให้ชาวเยอรมันกระทำความรุนแรงต่อชาวยิวในที่สุด
พัฒนาการของจิตวิเคราะห์และทฤษฎีสังคมภายหลังฟรอยด์
แบ่งออกเป็นสามแนวทางหลักคือ 1)
การพัฒนาทฤษฎีสังคมบนพื้นฐานของมโนทัศน์เรื่อง “ความปรารถนา” (Desire)
ของมนุษย์ ซึ่งเป็นการมุ่งอธิบายวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม
ความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมและความปรารถนา จะเห็นได้ในผลงานของกลุ่มทฤษฎีจิตวิเคราะห์มนุษยนิยม
และพวกฟรอยโด-มาร์กซิสต์ 2)
การพัฒนาจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์โดยเน้นความสำคัญของระบบสัญลักษณ์และความหมายของสัญลักษณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาต่อชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ เช่น
การพัฒนาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ จาค ลากอง 3) การพัฒนาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่เน้นในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง
อุดมการณ์แห่งการกดขี่ทางเพศ ซึ่งเป็นผลงานของพวกเฟมินิสต์กลุ่มต่างๆ
กลุ่มนักทฤษฎีฟรอยโด-มาร์ซิสต์
ที่สานต่อและมีแนวความคิดพื้นฐานที่คล้ายคลึงกับ ฟรอยด์อย่างน้อยสองประการคือ ประการแรก
นักทฤษฎีฟรอยโด-มาร์กซิสต์ มีแนวความคิดที่คล้อยตามฟรอยด์ ในการให้ความสำคัญกับเซ็กส์และอิทธิพลของเซ็กส์ที่มีต่อปัจเจกบุคคลและพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม
และเชื่อว่าความพึงพอใจทางเซ็กส์เป็นดัชนีชี้วัดความสุขของมนุษย์ ประการที่สอง พวกเขามีแนวความคิดที่สอดคล้องต้องกันว่า
“การเมือง” และ “เซ็กส์”
มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น
ดังจะเห็นได้จากนักทฤษฎีฟรอยโด-มาร์ซิสต์ท่านหนึ่งก็คือ เฮอร์เบิร์ต มาร์คูส ที่มีความเห็นคล้อยตามฟรอยด์ว่า
การกดบังคับหรือการจำกัดพฤติกรรมทางเซ็กส์ของมนุษย์เป็นเงื่อนไขพื้นฐานอารยธรรม มาร์คูสเชื่อว่า
สังคมที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีและมีการจัดระเบียบทางสังคมที่สลับซับซ้อน
เป็นสังคมที่มีการกดบังคับ (ส่วนเกิน) ต่อมนุษย์มาก
และเป็นสังคมที่มีลักษณะของการกดขี่ทางชนชั้นสูง
จาค
ลากอง (Jacqus Lacan)
นักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้ที่พัฒนาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
และได้พยายามที่จะตีความและนำเสนอแนวความคิดของฟรอยด์ในรูปของกรอบทฤษฎีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
โดยผสมผสานทฤษฎีจิตวิเคราะห์และภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง (Structural Linguistics) เข้าด้วยกัน ซึ่งลากองเชื่อว่า
ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ มนุษย์มิได้เกิดและเป็นอยู่ตามสภาพที่เขาเป็นโดยธรรมชาติ
หากแต่มนุษย์เป็นซับเจค (Subject)
ที่ถูกสร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์ที่มาจากภายนอกตัวเขาเอง โดยผ่าน “คำพูด” (Speech)
ของบุคคลอื่นๆ รอบตัวเขา
ยศ สันตสมบัติ (2542:95)
ได้อธิบายถึงมโนทัศน์เรื่องซับเจคของลากองว่า “ซับเจค”
ของลากองมิได้มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “เอกลักษณ์” (Identity) หากแต่บ่งบอกลักษณะของความเป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นจากการแบ่งแยก
(Splitting) เอกลักษณ์ของซับเจคแต่ละคน
ตามทัศนะของลากองเป็นเพียงภาพสะท้อนที่ซับเจคสร้างขึ้นจากภาพลักษณ์ (Image)
ที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้แก่เขา เมื่อเด็กทารกเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ฉัน”
เด็กทารกผู้นั้นกำลังเรียนรู้คำเรียกขานที่ผู้อื่นซึ่งอยู่รอบข้างรับรู้และหยิบยื่นให้
คำว่า “ฉัน”
มิได้มีความคงที่หรือผสมกลมกลืนไปกับตัวเด็ก คำๆ นี้เป็นสิ่งที่มาจากภายนอก
มิได้เกิดขึ้นภายใน การมีตัวตนของบุคคลหนึ่งถูกกำหนดโดยโลกภายนอกที่รับรู้การดำรงอยู่ของบุคคลผู้นั้น
และสะท้อนภาพลักษณ์ของเขากลับไป ก่อให้เกิดการมีตัวตน
เอกลักษณ์แห่งความเป็นครูของซับเจคผู้หนึ่ง เป็นเพียงภาพสะท้อนที่ซับเจคสร้างขึ้น
จากภาพลักษณ์ที่ผู้อื่นรับรู้และบ่งบอก การรับรู้ภาพลักษณ์และความเป็นซับเจคของมนุษย์มีภาษาเป็นสื่อกลางที่ทำหน้าที่แสดงออกและสื่อความหมาย
มนุษย์จึงตกอยู่ภายใต้การครอบงำของภาษา ซึ่งสร้างเอกลักษณ์ ภาพลักษณ์
และความเป็นซับเจคให้แก่มนุษย์
นอกจากนั้น
ลากองยังได้เสนอว่า การครอบงำของคำพูดหรือภาษา มีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการของจิตใจและความคิดของมนุษย์
ที่ลากองใช้คำว่า “ระบบสัญลักษณ์” (Symbolic System หรือ Symbolic
Order)
ซึ่งลากองให้ความหมายกว้างครอบคลุมไม่เพียงแต่เฉพาะภาษาหรือคำพูด
แต่หากหมายรวมไปถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบกายเด็กตั้งแต่แรกเกิด
ไปจนถึงระบบวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ วิถีชีวิต
ความเชื่อและความหมายของชีวิตให้กับสมาชิกสังคม ซึ่งลากองเสนอว่า “ความมีตัวตน” หรือ “อัตตา” (Selfhood) ของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางการครอบงำ
การเปลี่ยนแปลงและความผันแปรในระบบสัญลักษณ์หรือวัฒนธรรม
ยศ สันตสมบัติ (2542:101-103) อธิบายเกี่ยวกับ
“ตัวตน”
ตามทัศนะของลากองว่า
เด็กมองเห็นภาพลักษณ์ของตนเองจากการสะท้อนกลับที่เกิดจากความสัมพันธ์กับผู้อื่น
การรับรู้ของเด็กต่อภาพลักษณ์นั้น
ทำให้เด็กชื่นชมอยู่กับอัตตาหรือการมีตัวตนที่สมบูรณ์
อีโก้ของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการ ที่ปิดบังซ่อนเร้นการสูญเสีย
หรือสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต
อีโก้ถูกสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์การอ้างอิงและการสะท้อนกลับของผู้อื่น
โครงสร้างของอีโก้จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการครอบงำและจินตนาการ
เป็นความแปลกแยกที่เกิดขึ้นครั้งแรกในชีวิต...
เมื่อเด็กก้าวย่างเข้าสู่โลกแห่งสังคม
กระบวนการแปลกแยกครั้งที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กเริ่มเรียนรู้ภาษา “การพูด”
การสื่อสาร การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของภาษา
และการจัดระเบียบของระบบสัญลักษณ์ทำให้มนุษย์ผู้เป็นซับเจคจำต้องเปลี่ยนฐานะจากสภาพของการหลงตนเอง
หรืออัตตาที่สมบูรณ์ในโลกแห่งจินตนาการของเด็ก (Imaginary
Order)
ไปสู่ฐานะทางสังคมที่ถูกกำหนดโดยระบบสัญลักษณ์ (Symbolic
Order)
ที่มาครอบงำจากภายนอก ... การรับรู้ของมนุษย์ถูกกำหนดด้วยการแบ่งแยก “ฉัน” “เธอ” และ “เขา”
และจากการแบ่งแยกนี้เองที่มนุษย์เรียนรู้ รับรู้ และบ่งบอกความหมายของอัตตา (Self)
ต่อผู้อื่น
จึงอาจกล่าวได้ว่า
ซิกมันด์ ฟรอยด์ เป็นยอดอัจฉริยะและได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยา ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของเขาสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับทฤษฎีสังคมอื่นๆ
ได้อย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะมโนทัศน์เรื่อง การเรียนรู้ทางสังคม (Socialization) ความรู้สึกผิด (Guilt) วัฒนธรรมหรืออารยธรรม
(Civilization) และซูเปอร์อีโก้ (Superego)
รวมทั้งยังสามารถนำเอาทฤษฎีดังกล่าวมาใช้เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจกับระบบศาสนา
พิธีกรรม ความเชื่อ ค่านิยม และระบบสัญลักษณ์ได้อีกด้วย
แม้ในบางครั้งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์อาจไม่ได้รับความยอมรับจากนักวิชาการบ้าง
แต่อย่างน้อยทฤษฎีสังคมของเขาก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และตีความในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป
จึงทำให้ทฤษฎีของฟรอยด์เป็นแนวทางการศึกษาในแง่มุมที่แปลกใหม่และน่าสนใจอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา
บรรณานุกรม
กิติกร มีทรัพย์. (2549). ซิกมันด์
ฟรอยด์ ประวัติชีวิตการทำงานและฟรอยด์บำบัด. กรุงเทพฯ: มติชน.
ยศ สันตสมบัติ. (2542). ฟรอยด์และพัฒนาการของจิตวิเคราะห์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้มาก
ตอบลบ