อาจารย์โชคชัย ตักโพธิ์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
ณ ศิลปสถาน โชคชัย ตักโพธิ์ วิถี อ.เมือง จ.อุบลราชธานี (มกราคม 2553)
ทัศนศิลป์เพื่อชีวิต
:
กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของโชคชัย
ตักโพธิ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
คณะศิลปกรรมและออกแบบอุตสาหกรรม
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
ถ.สุรนารายณ์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000
ความนำของผู้เขียน
ท่านทั้งหลาย บทความที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่คัดย่อมาจากผลงานวิทยานิพนธ์
ในระดับปริญญาเอกของผู้เขียน หลักสูตรศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต ศศ.ด.
(ศิลปวัฒนธรรมวิจัย) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี 2554 เรื่อง “ทัศนศิลป์เพื่อชีวิต : กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของศิลปินอีสาน” โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษากระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของศิลปินอีสาน
ผ่านผลงานทัศนศิลป์เพื่อชีวิต ในบริบทของท้องถิ่นอีสาน รัฐชาติ และโลกาภิวัตน์
ที่มีผลต่อการสร้างอัตลักษณ์ของศิลปินอีสาน 2)
เพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกศิลปินและกลุ่มศิลปิน
ที่มีผลต่อกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของศิลปินอีสาน
โดยมีขอบเขตของการวิจัยคือ
ผู้วิจัยเลือกศึกษาผลงานศิลปะเพื่อชีวิตของศิลปินอีสานหลักๆ จำนวน 7 คน
ที่มีแนวทางชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ
โดยเลือกตัวแทนศิลปินจากทั้งผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางด้านศิลปะ และผู้ไม่เคยผ่านสถาบันการศึกษาศิลปะใดๆเลย
แต่ทุกคนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนศิลปะเพื่อชีวิต ในนามตัวแทนของศิลปินอีสาน
ได้แก่ ทวี รัชนีกร โชคชัย ตักโพธิ์ สนาม จันทร์เกาะ สุขสันต์ เหมือนนิรุทธ์ สุรพล ปัญญาวชิระ เกียรติการุณ ทองพรมราช และวัฒนา ป้อมชัย
การวิจัยเรื่องนี้
ใช้แนวคิดหลักที่สำคัญคือ แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ (Identity) โดยได้เลือกพิจารณาในความหมายของเกียร์ตซ์
(Clifford Geertz) คือ เป็นการแปรเปลี่ยนอัตลักษณ์ของคนตามบริบทจึงมีไม่รู้จบ
อัตลักษณ์จึงเป็นคุณสมบัติที่คนหยิบยืมสร้างขึ้นมาตามสถานการณ์เฉพาะหน้า นอกจากนั้น
ยังได้เลือกแนวคิด “อัตลักษณ์” ในแนวคิดหลังสมัยใหม่ เพราะเป็นการมองปัจเจกสภาพในฐานะของอัตลักษณ์
ความเป็นปัจเจกจึงถูกเน้นในฐานะที่เป็น “กระบวนการทางสังคมของการสร้างอัตลักษณ์”
มากกว่าแก่นแกนของคุณสมบัติบางอย่างที่มีลักษณะตายตัว ซึ่งจากแนวคิดหลักดังกล่าว
ผู้วิจัยเพียงนำมาเป็นไฟส่องทาง เพื่ออธิบายให้เห็นถึงกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของศิลปินอีสาน
ซึ่งมีลักษณะที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมแบบบูรณาการ
ภายใต้บริบทของความเป็นท้องถิ่นอีสาน รัฐชาติ และโลกาภิวัตน์ ที่มีลักษณะแบบซ้อนทับกันเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม
เนื้อหาของผลงานวิทยานิพนธ์นั้น ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจ
โดยเฉพาะในส่วนของโชคชัย ตักโพธ์ ก็ยังมีอีกมาก
แต่ผู้เขียนไม่สามารถนำมาให้อ่านได้ทั้งหมด ดังนั้น ในบทความต่อไปนี้
จึงเป็นผลการศึกษาเพียงบางส่วน เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโชคชัย ตักโพธิ์ เท่านั้น และขอสรุปเฉพาะเนื้อหาที่สำคัญเพียงบางตอน
ดังต่อไปนี้
บทนำ
โชคชัย
ตักโพธิ์ เป็นศิลปินอีสานที่ผ่านการศึกษาศิลปะจากกรุงเทพฯ
และนับเป็นคุรุศิลปินเพื่อสังคมชาวอีสานอีกผู้หนึ่ง ที่มีความสำคัญและมีบทบาทสูง ในการนำเอาศิลปะไปเป็นแนวทางในการร่วมต่อสู้กับเผด็จการ
ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
และ 6 ตุลาคม 25519
ซึ่งนับเป็นผู้นำร่วมในกระบวนการต่อสู้ในส่วนกลางคือกรุงเทพฯ
ที่สำคัญอีกผู้หนึ่งของประเทศไทย จนต่อมาเขาได้รับรางวัลมนัส เศียรสิงห์ “แดง”
ครั้งที่ 2 ประจำปีพุทธศักราช 2549 เป็นศิลปินเกียรติยศทัศนศิลป์ดีเด่น
ทางด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย และความเป็นธรรม จากสถาบันปรีดี พนมยงค์
เช่นเดียวกันกับทวี รัชนีกร
จึงเห็นได้ว่า ตัวตนของโชคชัย ตักโพธิ์
นอกจากจะเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในส่วนกลาง โดยใช้ศิลปะเป็นสื่อในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว
ผลงานในช่วงเวลาต่อมา นับจากปี พ.ศ. 2524
เขาเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา
โดยได้รับอิทธิพลย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เขาเคยเป็นนักเรียนพุทธศาสนาในวันเสาร์และอาทิตย์
รวมทั้งเคยไปศึกษาธรรมที่วัดสวนโมกข์และวัดอุโมงค์มาก่อน และการได้ศึกษาธรรมที่วัดหนองป่าพงตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2520 จากความเชื่อในพุทธศาสนา
และการเชื่อมโยงมาสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะของโชคชัย ตักโพธิ์ นั้น
เป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะแนวสากลแบบตะวันออก
แต่มิใช่การยึดติดอยู่กับรูปแบบของจีนหรือญี่ปุ่น เขาพยายามเชื่อมโยงกับแนวคิดของศาสนาพุทธแบบหินยานที่เป็นของไทย
ซึ่งเขามองว่า น่าจะเป็นเซนแบบเถรวาทหรือแบบท้องถิ่นมากกว่า
จึงพยายามโยงแนวคิดนี้เข้ามา เพื่อให้เป็นตะวันออกแบบไทย
นอกจากจะได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกี่ยวกับศาสนาดังกล่าวแล้ว
เขายังได้เชื่อมโยงกับนิทานปรัมปราของอีสาน ที่เขาเรียกว่า “ปรัมปราซ้อนคติ” เช่น ผลงานชุด “กาเหยียบช้าง” ในปี พ.ศ. 2540
โดยเชื่อมโยงกับนิทานสมัยอาณาจักรโคตรบูรณ์
เพื่อเป็นการอธิบายถึงยุคฟองสบู่แตกแบบซ้อนคติ และผลงานในช่วงปัจจุบัน โชคชัย
ตักโพธิ์ ได้เลือกภาพผนังถ้ำในอีสาน มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน
เพื่อสื่อให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างพอเพียงในโลกปัจจุบัน
จึงกล่าวได้ว่า
ผลงานศิลปะของโชคชัย ตักโพธิ์ นั้น
ในบางช่วงเวลาเป็นผลงานแนวสะท้อนสังคมแบบเข้มข้น หลังจากนั้น
ผลงานส่วนใหญ่มักมีส่วนเกี่ยวข้องและสัมพันธ์อยู่กับความเชื่อแบบตะวันออก ที่ได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนา
ภาพผนังถ้ำ นิทานปรัมปรา ซึ่งล้วนผูกพันอยู่กับความเป็นอีสาน
แต่แสดงรูปแบบของศิลปะตามอย่างตะวันตก ผลงานของเขาจึงมีนัยสำคัญว่า
ความคิดความเชื่อแบบท้องถิ่นอีสาน มันจะผสมผสานกับความเป็นโลกาภิวัตน์ได้อย่างไร
โชคชัย ตักโพธิ์. คัตเอาท์การเมือง. โปสเตอร์. ปี
2518 (ที่มา : สถาบันปรีดี พนมยงค์. 2546: 28)
โชคชัย ตักโพธิ์. คัตเอาท์การเมือง. โปสเตอร์. ปี
2518 (ที่มา : แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย.
2537: 35)
โชคชัย
ตักโพธิ์. ก่อน-หลัง ตุลาคม 2516. สีน้ำมันบนผ้าใบ. 56x38 ซ.ม. ปี 2517
(ที่มา : สถาบันปรีดี พนมยงค์. 2546: 89)
ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของโชคชัย ตักโพธิ์
1. ศิลปินเพื่อชีวิต
: อัตลักษณ์ภายใต้ความเป็นท้องถิ่นอีสาน
หากจะอธิบายกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของโชคชัย
ตักโพธิ์ ในบริบทความเป็นท้องถิ่นอีสาน พบว่า จากพื้นเพเดิมของเขาคือเป็นคนอีสานโดยกำเนิด
ดังนั้น ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีแบบดั้งเดิมของอีสาน
ก็ได้หลั่งไหลเข้าสู่มโนทัศนศิลป์ของเขา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวศิลปะถ้ำดั้งเดิมที่มีอยู่ในภาคอีสาน เช่น ผาแต้ม ภูผาพยนต์
และอีกหลายๆ แห่ง นิทานปรัมปราพื้นบ้านอีสาน
ที่ผูกติดกับแนวคิดและคำสอนของพุทธศาสนา เช่น เรื่องกาเหยียบช้าง
และเรื่องราวปริศนาธรรมต่างๆ กลายเป็นวัตถุดิบทางความคิด ให้เขาถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะ
ที่ต้องอาศัยการตีความหลักธรรม-วลีธรรม
เชื่อมโยงกับเนื้อหาวิถีชีวิตของตัวเองและสังคมอย่างท้าทาย ดังนั้น
หากจะอธิบายอัตลักษณ์ สามารถอธิบายได้ว่า ปัจเจกภาพในฐานะอัตลักษณ์ของเขา
ได้ถูกสร้างด้วยกระบวนการทางสังคมด้วยความเป็นท้องถิ่นอีสาน
ที่ทับซ้อนกับเทคนิควิธีการแบบสมัยใหม่เป็นผู้หยิบยื่นให้ อย่างไรก็ตาม
ผลงานทัศนศิลป์ของเขาในรูปแบบนี้ กลับแสดงลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า ศิลปะธรรมชาติสื่อนัยวิถีชีวิต และ ศิลปะอิงปริศนาธรรม
ที่เป็นแนวศิลปะในช่วงปัจจุบัน
โชคชัย
ตักโพธิ์. ลูกยางนา หน้าคน.
สีน้ำบนกระดาษ. 55x76 ซ.ม. ปี 2548 (ที่มา: แฟ้มภาพส่วนตัวของโชคชัย ตักโพธิ์)
โชคชัย
ตักโพธิ์. ผาพยนต์.
สีน้ำบนกระดาษ. 55x76 ซ.ม. ปี 2549 (ที่มา: แฟ้มภาพส่วนตัวของโชคชัย ตักโพธิ์)
โชคชัย
ตักโพธิ์. กาเหยียบช้าง. วาดเส้นบนกระดาษ.
38x56 ซ.ม. ปี 2540 (ที่มา: แฟ้มภาพส่วนตัวของโชคชัย ตักโพธิ์)
2. ศิลปินเพื่อชีวิต
: อัตลักษณ์ภายใต้รัฐชาติไทย
จากผลการศึกษาพบว่า
ปัจจัยทางด้านการเมืองมีผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อชีวิตของโชคชัย
ตักโพธิ์ มากที่สุด ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงยุค 14 ตุลาคม 2516 และ 6
ตุลาคม 2519 ได้ผลักดันให้เขากลายเป็น “ศิลปินเพื่อชีวิต” เต็มตัว เป็นศิลปิน “เพื่อทางเลือก” ที่สร้างสรรค์ผลงานออกมา “เพื่อขบถ” ซึ่งไม่เหมือนกับศิลปินกลุ่มกระแสหลัก
หรือศิลปะตามกระแสทุนนิยมตะวันตกที่กำลังเฟื่องฟูอยู่ในขณะนั้น
ความวุ่นวายทางการเมืองดังกล่าว
นับเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากอำนาจเผด็จการของรัฐบาลในช่วงเวลานั้น ดังนั้น
ความเป็นรัฐชาติไทย
จึงเป็นผู้หยิบยื่นความเป็นศิลปินเพื่อชีวิตให้กับเขานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์นั้นสงบลง
กอปรกับเขาได้ไปทำงานเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี
ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่อยู่ภายใต้รัฐชาติของไทย ด้วยภาระหน้าที่ในความเป็นครู
และกฎระเบียบทางราชการที่ผูกรัดข้าราชการให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
และความห่างไกลจากเมืองหลวง ได้กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนวิถีการทำงาน จากศิลปะที่มีเนื้อหาทางการเมืองร้อนแรง
ไปสู่การสร้างผลงานที่ผ่อนคลายเนื้อหาลงไปมาก แม้จะมีผลงานที่สะท้อนสังคมอยู่บ้างในภายหลัง
แต่ก็เป็นเพียงการหยิบยืมเนื้อหาทางสังคมมาสอดแทรกในรูปแบบศิลปะ
ที่เขาพยายามทดลองตามหลักการปฏิบัติธรรมของเขา ฉะนั้น เนื้อหาทางการเมืองจึงเบาลงตามสภาวการณ์ของหน้าที่การงาน
และสภาวการณ์ทางการเมืองที่ผ่อนคลายลงในปัจจุบัน
ดังนั้น จึงสามารถอธิบายได้ว่า
ปัจเจกสภาพในฐานะของอัตลักษณ์
ความเป็นปัจเจกจึงถูกเน้นในฐานะที่เป็น “กระบวนการทางสังคมของการสร้างอัตลักษณ์”
มากกว่าแก่นแกนของคุณสมบัติบางอย่างที่มีลักษณะตายตัว กล่าวคือ เมื่อโชคชัย ตักโพธิ์
อยู่ในสภาวการณ์ของความรุนแรงทางการเมืองดังเช่นช่วง 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ผลงานของเขาในช่วงเวลานั้น
จึงเป็นศิลปะเพื่อชีวิตที่เข้มข้น ศิลปะที่เกิดจากแรงบีบคั้น
แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง ความมีอิสระในทางความคิดมีมากขึ้น
ผลงานศิลปะของเขาได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาและรูปแบบในการแสดงออก ไปสู่ศิลปะในรูปแบบธรรมชาติสื่อนัยวิถีชีวิต
และอิงปริศนาธรรมในที่สุด นั่นจึงแสดงให้เห็นว่า
อัตลักษณ์ของเขาไม่ได้มีลักษณะตายตัว
แต่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์การเมืองที่ถูกสร้างด้วยเงื่อนไขของรัฐชาติไทยนั่นเอง
โชคชัย ตักโพธิ์. ไม้ค้ำ “คนชายแดน” สื่อผสม. ขนาดความสูง 180 ซ.ม.
ปี 2537.
(ที่มา : แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย. 2537: 158)
โชคชัย
ตักโพธิ์. รูปทรงไข่ใบหน้ากาล ปืน
จอบขุดดิน จุดนั้น. สื่อผสม. ขนาด 82x64, 84x61, 86x62 ซ.ม. ปี 2541 (ที่มา: แฟ้มภาพส่วนตัวของโชคชัย ตักโพธิ์)
ภาพประกอบ
40 โชคชัย
ตักโพธิ์. ท้องทุ่ง เมล็ดข้าว. สื่อผสม. 83.5x303 ซ.ม. ปี 2541 (ที่มา: แฟ้มภาพส่วนตัวของโชคชัย ตักโพธิ์)
3. ศิลปะสะท้อนสังคม
: อัตลักษณ์ภายใต้โลกาภิวัตน์
ความเป็นพื้นที่แห่งโลกสมัยใหม่ ได้ดึงโชคชัย ตักโพธิ์
เข้าไปสู่การเรียนรู้ศิลปะตะวันตกที่ได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย
ในช่วงเวลาที่เขาเป็นนักศึกษา ดังนั้น การได้รับอิทธิพลทั้งทางด้านแนวความคิด
รูปแบบ และกลวิธีในการสร้างภาพ จึงส่งผลมาสู่การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ของเขาจนกระทั่งปัจจุบัน
โดยเฉพาะการหยิบยืมเอารูปแบบศิลปะจากลัทธิต่างๆ เช่น ลัทธิสำแดงอารมณ์
และลัทธิอื่นๆ
โดยเฉพาะผลงานของเอ็ดวาร์ด มุงค์ เขาได้นำไปโยงกับผลงานของเขาในชุด “ใบหน้า” และโยงชื่อกลุ่มสะพาน ไปดัดแปลงเป็นผลงานชุด “สะพานพุทธ” และในช่วงก่อนและหลังแหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
และ 6 ตุลาคม 2519 เขาได้รับอิทธิพลศิลปะแนวเพื่อชีวิตของเอ็ดวาร์ด มุงค์
จากภาพชื่อ “เสียงกู่ร้อง” และอีกหลายๆศิลปิน เป็นต้น รวมทั้งการได้รับอิทธิพลจากศิลปินไทย
โดยเฉพาะผลงานของกมล ทัศนาญชลี และการได้ไปศึกษางานในต่างประเทศ
ก็ล้วนเป็นปัจจัยนำไปสู่ความพยายามที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้มีรูปแบบเป็นสากลนั่นเอง
นอกจากนั้น
แนวคิดปรัชญาของชาวตะวันตกและชาวตะวันออก ที่หลั่งไหลมาพร้อมกับกระแสโลกาภิวัตน์
ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งอิทธิพลต่อแนวความคิดในการสร้างสรรค์ผลงานของโชคชัย
ตักโพธิ์ ไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากการที่เขาพยายามตีความคำว่า “ชีวรูป” ซึ่งมาจากคำว่า “ชีววิทยา”
ของโจอัน มิโร และพยายามนำไปเชื่อมโยงกับแนวคิดปรัชญาของชาวตะวันออกคือ คำว่า “ชีวาตมัน” ของฮินดู-พราหมณ์ และตีความ
“ชีวาตมัน” สอดคล้องกับคำ “พีช-อาลัยวิญญาณ”
ของพุทธมหายาน ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงออกเกี่ยวกับ “ความรันทด” ของผู้คนในสังคม
ดังจะเห็นได้ในผลงานของเขาช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้น
จึงนับได้ว่า เป็นการเชื่อมโยงความเป็นตะวันตกเข้ากับความเป็นตะวันออก ต่อมา
เมื่อเขาได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง
จังหวัดอุบลราชธานี หลักปรัชญาของ “พุทธเถรวาท”
จึงได้ซึมซับเป็นเนื้อเดียวกับวิถีการดำเนินชีวิตของเขา
หลัก “สมาธิ” และผลแห่ง “จิต” ผลจากการปฏิบัติธรรม จากสภาวธรรมก็ได้เชื่อมโยงไปสู่สภาวศิลปะของเขา
ซึ่งมันแสดงนัยยะแบบซ้อนมิติ ที่ถือเป็น “อัตลักษณะ” เฉพาะตัวของโชคชัยมากที่สุด
ดังนั้น
หากอธิบายอัตลักษณ์ของโชคชัย ตักโพธิ์ จากกระแสอิทธิพลดังกล่าว
สามารถอธิบายตามแนวคิดของฮอลล์ (Stuart Hall) ที่ได้เสนอแนวคิดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างภาพตัวแทนและอัตลักษณ์
เพื่อชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างความเป็นเขา ความเป็นเรา ฉะนั้น “ภาพเขียน”
ของโชคชัย ตักโพธิ์ ที่ได้รับอิทธิพลดังกล่าว
ก็อาจเป็นการสร้างความหมายภาพตัวแทนและอัตลักษณ์บางประการ กล่าวคือ
เขาพยายามสร้างภาพตัวแทนของเขาด้วยความเป็นคนตะวันออกด้วยเนื้อหาของเขาเอง
ในขณะเดียวกันเขาก็สร้างภาพตัวแทนความเป็นตะวันตก
ด้วยรูปแบบศิลปะสมัยใหม่ของชาวตะวันตก ในลักษณะแบบบูรณาการนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม
เมื่อพิจารณาถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของโชคชัย ตักโพธิ์ พบว่า
แม้เขาจะเป็นผู้หนึ่งที่ต่อต้านระบบทุนนิยม และต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์
ในแง่ของการคุกคามวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามแบบชาวพุทธ
แต่ผลงานของเขากลับพยายามสร้างสรรค์มันออกมา โดยไม่ได้ต่อต้านความเป็นหลังสมัยใหม่
(Postmodern)
เขาเลือกที่จะพัฒนารูปแบบให้มีความเป็นสากล
แต่ต้องผสมผสานกับเนื้อหาความเป็นท้องถิ่นอีสาน ที่เรียกว่า “ตะวันตกบวกตะวันออก”
จึงเป็นการรอมชอมเพื่อให้ศิลปะของเขา มีที่ยืนอยู่ในพื้นที่ของโลกศิลปะกระแสหลักและโลกหลังสมัยใหม่
ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นการเดินทาง “สายกลาง” ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แนบแน่นอยู่ในใจของเขา
ศิลปะของเขาจึงเปรียบเสมือนเป็นการพิสูจน์ว่า
เมื่อสภาวะจิตของเขาได้รับการพัฒนาไปสู่ฌานชั้นสูง หรือแม้แต่การจะเข้ากระแสธรรมขั้นสูงในอนาคต
รูปแบบศิลปะของเขาจะได้รับการพัฒนาไปในรูปแบบใด ย่อมเป็นการยากที่จะคาดเดาได้
เนื่องด้วยทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ศิลปะ ชีวิต
และอัตลักษณ์ของเขาก็ย่อมเป็นไปตามนั้น
โชคชัย ตักโพธิ์. ใบหน้ากาล. ภาพพิมพ์. ผลงานสูญหายใน ปี พ.ศ. 2519
(ที่มา : แฟ้มภาพของโชคชัย ตักโพธิ์)
โชคชัย ตักโพธิ์. เดินจงกรม. เครยอง. 54x75 ซ.ม. ปี 2543
(ที่มา: แฟ้มภาพส่วนตัวของโชคชัย
ตักโพธิ์)
โชคชัย ตักโพธิ์. วัดหนองป่าพง. เครยอง ดินสอถ่าน. 69x79 ซ.ม. ปี 2545
(ที่มา: แฟ้มภาพส่วนตัวของโชคชัย
ตักโพธิ์)
บทสรุป
ผลจากการศึกษาและวิเคราะห์ผลงานทัศนศิลป์ของโชคชัย
ตักโพธิ์ พบว่า เขาเป็นศิลปินอีกผู้หนึ่ง
ที่ยอมสละชีวิตของตัวเองไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อชีวิต โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตรึงเครียดของเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ความจริงใจและอุดมการณ์ที่ก้าวข้ามความกลัวตาย
จากการไล่ล่าของฝ่ายตรงกันข้าม ได้ทำให้เขามีตัวตนที่ถูกขนานนามว่า “เป็นศิลปินเพื่อชีวิต”
ที่ยึดมั่นอุดมการณ์เพื่อสังคม จนทำให้เขากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงและถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ความเป็นศิลปินเพื่อชีวิตของเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากศิลปินเพื่อชีวิตคนอื่นๆ
ในยุคเดียวกัน หากแต่มีความแตกต่างจากกลุ่มศิลปะเพื่อศิลปะก็คือ
เขาไม่ได้ขายผลงานและขายอุดมการณ์
เพื่อเงินตราและเหรียญรางวัลเฉกเช่นศิลปินในกลุ่มกระแสหลัก
แม้ในช่วงหลังจนถึงปัจจุบัน อุดมการณ์ของเขาได้ยกระดับไปสู่ความจริงแท้ของสภาวธรรมคือ
ธรรมชาติที่มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นของธรรมดา
และธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สอนให้รู้เหตุของการเกิดสภาวธรรม
และทรงสอนให้รู้หนทางแห่งความหลุดพ้น เขาจึงปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปกับการปฏิบัติศิลปะ
เพื่อให้ผลงานศิลปะของเขามีประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติ
และการปฏิบัติธรรมมีประโยชน์ต่อการหลุดพ้นของตัวเอง นั่นคือ ความแตกต่างสูงสุด
เท่าที่เคยมีปรากฏในประเทศไทย
นอกจากสิ่งที่ค้นพบในความเป็นตัวตนดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ค้นพบคือ เรื่อง
“แนวคิด ทฤษฎี/ปรัชญา” ที่แฝงอยู่ในความเป็นศิลปินของโชคชัย ตักโพธิ์
ซึ่งมีความแตกต่างจากชาวตะวันตก คือ การนำเอาหลักคิดปรัชญาและคำสอนจากพระพุทธศาสนา
มาเป็นหลักแนวความคิด เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้มีความเป็นตะวันออก
หรือสอดคล้องกับความเป็นไทย เพื่อรักษาตัวตนและความเชื่อดั้งเดิมเอาไว้
ดังจะเห็นได้จากโชคชัย ตักโพธิ์ เป็นผู้ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาทั้งชีวิต ฉะนั้น
ปรัชญา “พุทธเถรวาท” จึงได้มาปรากฏในผลงานส่วนใหญ่ของเขา
เขาพยามสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้เข้าไปใกล้เคียงกับคำสอนของพระพุทธองค์ให้มากที่สุด
เพื่อแสดงให้เห็นว่า หลังจากที่เขาได้ปฏิบัติธรรม จนสมาธิและปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
พุทธิปัญญาก็จะบังเกิดขึ้นในผลงานศิลปะของเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลงานศิลปะของโชคชัย ตักโพธิ์ ทั้งหมด ทำให้เห็นภาพรวมของการเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนตายตัว ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจังตามกฎไตรลักษณ์
ผลงานศิลปะของเขาก็เช่นกัน จึงเห็นได้ว่า รูปแบบและกลวิธีการสร้างสรรค์ผลงาน ได้เลื่อนไหลไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่
และเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยอันควร ดังนั้น
การปรับตัวให้เลื่อนไหลไปตามกระแสของสังคม และกระแสโลกาภิวัตน์ จึงเป็นความชาญฉลาดที่ทำให้เขายืนอยู่ได้อย่างสง่างาม
บนพื้นที่ของโลกศิลปะหลังสมัยใหม่นั่นเอง